14 ธ.ค. , 2024, 04:33:47 pm

Author Topic: สุขภาพ : เกร็ดความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป  (Read 79432 times)

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
รวมข่าวสาร : เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป
« Last Edit: 01 ธ.ค. , 2008, 02:16:52 am by fengshui »

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
ข้อควรรู้เกี่ยวกับมะเร็ง 16 ประการ

1. ทุกคนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลล์จำพวกนี้จะไม่สามารถตรวจหาพบโดยเครื่องมือทางการแพทย์
จนกว่าจะมีปริมาณเซลล์เป็น 2-3 ร้อยล้านเซลล์

หากไปพบหมอ แล้วหมอบอกว่าคุณไม่มีเซลล์มะเร็งในร่างกายหลังจากการตรวจ
นั่นแค่หมายความว่า เครื่องมือทางการพทย์ไม่สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็งได้
เนื่องจากขนาดของเซลล์มะเร็งยังไม่มากพอ หรือขนาดยังไม่ใหญ่พอให้เครื่องมือตรวจเจอ

2. เซลล์มะเร็ง เกิดขึ้นมาก ถึง 6 -10 ครั้ง ใน 1 ช่วงชิวิตของมนุษย์

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เซลล์มะเร็งก็จะถูกทำลาย
เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งขยายตัว และสร้างก้อนเนื้อร้าย

4. เมื่อคนไข้ ถูกบ่งชี้ว่าเป็นมะเร็ง แสดงให้เห็นว่ามีการขาดสารอาหารบางชนิด หรือ โภชนาการไม่ดี
ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม อาหาร หรือปัจจัยอื่นในการดำรงชีวิต

5. การเอาชนะเซลล์มะเร็ง สามาถทำได้โดยการสร้างความแข็งแกร่งให้เซลล์เม็ดเลือดขาว
หรือระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย

6. การให้คีโม หรือสารเคมีบางชนิด เป็นทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะเดียวกันก็ทำลายเซลล์ที่ดีของร่างกายไปด้วยอย่างรวดเร็ว
ซึ่งเป็นอาจทำลายระบบของอวัยวะสำคัญไปด้วย เช่น ตับ ไต หัวใจ หรือปอด

7. การฉายรังสี ก็จะทำลายเซลล์มะเร็ง และทำให้เนื่อบางส่วนไหม้ เป็นแผลเป็น
และทำลายเซลล์ เนื้อเยื่อที่ดีไปด้วยเช่นกัน

8.โดยทั่วไปแล้ว การให้คีโม หรือการฉายรังสี อาจจะทำให้ขนาดของก้อนเซลล์มะเร็ง ลดลง
แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้มีผลทำลายก้อนเนื่อไปมากกว่านั้น

9. เมื่อร่างกายต้องรับสารพิษจำนวนมาก จากการให้คีโมหรือการฉายแสง
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะถูกทำลายไปด้วย
ดังนั้นร่างกาวยก็ง่ายต่อการติดเชื้อ หรือพ่ายแพ้เซลล์มะเร็ง

10. การให้คีโม หรือการฉายแสง อาจเป็สาเหตุให้เซลล์มะเร็ง มีการกลายพันธุ์ หรือดื้อยา
ทำให้ยากแก่การทำลาย การผ่าตัด ก็อาจสามารถทำให้ เซลล์มะเร็งกระจายไปยังส่วนอื่น

11.วิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง คือ หยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
โดยการหยุดให้อาหารที่เซลล์มะเร็งจำเป็นต้องนำไปใช้


สารอาหารที่เซลล์มะเร็งต้องการ

1. น้ำตาล เช่น น้ำตาลทรายขาว equal
โดยใช้น้ำตาลจากธรรมชาติแทน เช่น น้ำผึ้ง แต่ต้องใช้ในปริมาณที่น้อยมากมาก
เกลือ มีสารจำเป็นที่เซลล์มะเร็งนำไปใช้ ควรงด หรือในปริมาณน้อย

2. นม ควรดื่ม นำนมถั่วเหลืองทดแทน

3.เซลล์มะเร็ง เจริญเติบโตในสภาพที่เป็นกรด การบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสภาพเป็นกรด
ควรรับประทานอาหารประเภทปลา ดีกว่าหมู เนื้อ และเนื้อสัตว์ มีแบคทีเรีย
ใช้โฮโมนในการเจริญเติบโตปนเปื้อน ที่เป็นอันตรายต่อคนไข้ที่เป็นมะเร็ง

4. 80 % ของผักและนำผลไม้สด ถั่งเมล็ดแห้ง ธัญญาพืช
จะช่วยให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง 20% จากอาหารที่ปรุงแล้ว
น้ำผักและนำผลไม้สด จะให้เอนไซม์ที่ ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
เพื่อไปเสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์ที่ดี
ดังนั้นควรดื่มน้ำผักสด และกินผักดิบ 2 -3 ครั้งต่อวัน เพราะเอนไซม์จะถูกทำลายที่ 40 c

5. หลีกเลี่ยงชา กาแฟ ชอกโกแลต ที่มีคาเฟอีนที่สูง เป็นดื่มชาเขียวที่มี สารต้านมะเร็ง
ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำกรองดีที่สุด หลีกเลี่ยงน้ำประปา และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่มีสภาพเป็นกรด

6. เนื้อสัตว์ ย่อยยาก และต้องการเอนไซม์ในการย่อยเป็นจำนวนมาก
และเนื้อที่ย่อยไม่หมด จะคงตกค้างอยู่ในลำไส้ อันนำไปสู่สารพิษตกค้าง

7. เซลล์มะเร็ง มีโปรตีนที่ยากแก่การทำลายเป็นเกราะป้องกัน
การบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น

8. อาหารเสริมบางอย่างช่วยเสริมสร้งความแข็งแกร่งให้กับระบบภูมิคุ้มกัน
เพื่อไปทำลายเซลล์มะเร็ง เช่น วิตามินอี วิตามินซี

9. เซลล์มะเร็ง เป็นเชื้อโรคของจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาน
การควบคุมอารมณ์ และมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
อารมณ์โกรธ ขมขื่น หรือความเครียดจะสร้างสภาพความเป็นกรดให้ร่างกาย
ควรเรียนรู้ที่จะรัก และให้อภัย พักผ่อนและสนุกกับการใช้ชีวิต

10. เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจิญเติบโตในที่มีออกซิเจนได้
การออกกำลังกายทุกวัน และหายใจเข้าลึกลึก จะช่วยเพิ่มระดับ ออกซิเจนในเซลล์
การบำบัดด้วยออกซิเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำลายเซลล์มะเร็ง
_________________


วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็ง ชนิดต่างๆ

อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ
อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าว ไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์
หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง

3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออนหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์
มีปัญหา เกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติ
มักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ
และมักจะเกิดร่วมกับอาหาร ปวด ตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
บางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง

5. มะเร็ง ปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลาย
น้ำหนักลดอย่าง ฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบาก
หรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็ง ตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
ตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็ง สมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย
เช่น อาเจียน หรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ
อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหัน
อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงาน เช่น มีอาการชา และเป็น อัมพาตชั่วคราว
ควรให้ความระวังเป็นพิเศษ หากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา
หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือก เนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ หรือ เป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันที ทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก
หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับ และรู้สึกได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาเจียนออกมาเป็นเลือด
ท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ
แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือด หรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวม
หรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้
เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานาน
ควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุ
เมื่อมีอายุมากขึ้น

เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์
ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อน ว่าคืออะไรกันแน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
มีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ

**** ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้ว
คือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับ แล้วเลือดมีสีแดงสด นั่นคืออาการของริดสีดวงทวาร
แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง

อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน ตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้น
และมีการเปลี่ยนสี หรือรูปร่าง ขนาด

นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma) คือ
เนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่
เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกาย
หรือ มีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อน คุณจะ มี อัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิด ทำให้กระดูกบางลงได้ นำไปสู่ปัญหากระดูกพรุน

เมื่อแก่ตัวลง ดังนั้นหากจำเป็นต้องกินหรือฉีดยาเหล่านี้
ก็อย่าลืมหมั่นกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง
เช่น ผักใบเขียวเข้ม ปลาเล็กปลาน้อย ฯลฯ หรือทานแคลเซียมเสริมไว้ด้วย...
ที่มา : Canadian Medical Association Journal, O ctober 2001
 
 

ผู้หญิงชอบดื่มพึงระวัง
คุณผู้หญิงที่ชอบดื่มพึงระวังเพราะร่างกายคุณ จะซึมซับแอลกอออล์ได้เร็วกว่าผู้ชาย ( เมาเร็วกว่า)
แล้วคุณยังมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ดื่มถึง 50%
แถมยังกระดูกเปราะกว่ากันมาก
เพราะเหล้าจะเข้าไปทำลายเนื้อกระดูก( bone mass) ของคุณ...
ที่มา : Rethinking Drinking" Reader's Digest, December 2001
 

 
นั่งรถตรงไหนปลอดภัยที่สุด
นั่งรถเก๋งที่เบาะหลังตรงกลางปลอดภัยที่สุด
รองลงมาคือ ที่นั่งด้านหลังทางซ้าย (หลังคนนั่งข้างคนขับ)
เพราะตามสถิติอุบัติเหตุจะเกิดทางด้านหน้า และ ด้านคนขับมากกว่า
และหากมีคนนั่งรถไปกับคุณด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
จะลด อันตรายจากอุบัติเหตุการชนด้านหน้ารถลงไปด้วย...
ที่มา : The Seattle Times, November 11, 2001
( ข้อมูลจาก http://www.thaihealth.or.th )
 


ทานกะหล่ำปลีดิบมีพิษนะ
ในกะหล่ำปลีดิบจะมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน ( Goibrogen)
ซึ่งเป็นสารที่จะไปกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีน
ไปสร้างเป็น ฮอร์โมนไทร๊อกซิน ( Thyroscine) ได้
ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือ จะทำให้เกิดเป็นโรคคอหอยพอก
แต่สารพิษเหล่านี้จะถูกทำลายได้ โดยการต้ม
จึงควรรับประทานกะหล่ำปลีสุก จะดีกว่ากะหล่ำปลีดิบ
 

 
ถั่วงอกดิบมีโทษครับ
ในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ในถั่วงอก
มีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร
ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย
ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ
สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม
จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบ
 
 

วิธีป้องกันตะคริว
ตะคริวเกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่
การดื่มน้ำและ รับประทานผลไม้สดมากๆ จึงช่วยลดการเป็นตะคริวได้...
ที่มา : Health& Fitness Column, Detroit News, August 22, 2001
 


อดนอนบ่อยๆ ระวังเป็นเบาหวาน
ร่างกายที่ไม่ได้รับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม จะใช้อินซูลินได้น้อยลง
คนอดนอนบ่อยๆ จึงมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานสูงกว่าปกติ...
ที่มา : The Seattle Times, July 22, 2001
 

 
ตรวจฉี่ด้วยตัวเอง
ร่างกายแต่ละคนต้องการน้ำไม่เท่ากัน
แพทย์แนะนำว่าควรดื่มมาก พอที่จะถ่ายปัสสาวะได้ทุกๆ 3-4 ชั่วโมง
หากปัสสาวะคุณเป็นสีเหลือง เข้มกว่าปกติ แสดงว่าคุณกำลังขาดน้ำ...
ที่มา : Health & Fitness Column, Detroit News, August 22, 2001
 

 
เนยแท้ vs เนยเทียม
เนยแท้ๆ ที่ทำมาจากนม อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายกว่าเนยเทียม
หรือมาร์การีนซึ่งไม่มีประโยชน์เลยแถมเป็นพิษต่อร่างกายอีกต่างหาก
แต่ไม่ควรจะบริโภคเนยให้มากนักเพราะมากไป ก็ทำให้เป็นโรคหัวใจ และความดันได้ง่าย...
 


วิธีชะลอความแก่ 7 ประการ
เรื่องความชราที่มาเยือนนั้นเป็นไปตามวัยก็จริง
แต่หนุ่มสาวสมัยนี้กลับ "แก่ก่อนวัย"
ถึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า "ทุกอย่างนั้นอยู่ที่ใจ"

เคล็ดลับเหล่านี้ได้จาก น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
สูตินารีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

๑.ต้องไม่อยากแก่...
ต้องตั้งใจคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวเอาไว้
และต้องปฏิบัติควบคู่ไปทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ

๒.มีใจเป็นหนุ่มสาว..
คือ รักอิสระ มองโลกในแง่ดีและที่สำคัญมีความหวังเสมอ
หรือการคบเพื่อนที่อายุน้อยกว่าก็เป็นวิธีการที่ดี

๓.ลดความเครียด..
เลิกเอาคิ้วผูกโบได้แล้ว ลองยิ้มให้มากขึ้น
ถ้าไม่รู้จะยิ้มอย่างไรก็ลองยิ้มกับกระจกเงาที่บ้านดูสิ

๔.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ..
ออกกำลังการอย่างน้อย 15 นาทีจะดี

๕.กินอาหารต้านชรา..
พยายามเลือกอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย เช่น พืชผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ

๖.นอนหลับเพียงพอ..
เราควรจะนอนให้เพียงพอกับร่างกาย ที่ดีที่สุดควรนอนก่อนสี่ทุ่มจะดีที่สุด

๗.ความรัก..
ความรักเท่านั้นที่จะช่วยให้คนสดชื่น กระชุ่มกระชวย
ทั้งความรักของคนหรือสัตว์ ก็จะช่วยให้เราหัวใจเบิกบาน
 

 

ขนมเด็กเคลือบยาพิษ Safe Stamp ระวัง !
อันตรายจากอาหารขบเคี้ยว ข้อมูลจากการสำรวจ ของราชพฤกษ์โพล
คณะสาธารณะสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ซึ่งเก็บตัวอย่างจากขนมหลายประเภท
จากโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษา จำนวน 40 โรงเรียน
ในพื้นที่ 17 เขตของกรุงเทพมหานคร

พบว่าภัยร้ายที่แฝงอยู่ในขนมเด็ก โดยเฉพาะสารตะกั่วซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย
ขณะเดียวกันก็ยังพบสารอันตรายอื่นๆ
โดยเฉพาะเกลือโซเดียมในปริมาณมากน้อยต่างกันไป
ซึ่งหากบริโภค มากจนตกค้างสะสมในร่างกาย อาจมีผลให้เส้นเลือดในสมองโป่งพองได้

10 อันดับขนมขบเคี้ยวประเภทข้าว แป้ง ที่พบปริมาณโซเดียมสูงสุดดังนี้
1. ข้าวเกรียบปลาหมึก ตราอาริงาโตป้ง
2. ขนมทอดกรอบตราปูไทย ซองส้มเข้มป้ง
3. ข้าวเกรียบทอด ตราเอสบี รสพริกหยวกี่
4. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราฮานามิ รสเม็กซิกันชิลลี่ษ
5. แป้งมันฝรั่งทอดกรอบ ตราโรลเลอร์ โค สเตอร์ รสหัวหอมทรงเครื่อง
6. แป้งข้าวโพดอบกรอบ ตราโจโต้ รสปลาหมึก
7. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราคาลบี้ รสต้มยำรสแซบ
8. ข้าวเกรียบปลา ตรามโนห์รา
9. ข้าวเกรียบกุ้ง ตรามโนห์รา
10. ข้าวเกรียบรสมะเขือเทศ
 


โทษของน้ำต้มเดือดหลายๆ ครั้ง
น้ำประปามีแร่ธาตุหลายชนิด เมื่อต้มเดือดแล้วเดือดอีกหลายๆ ครั้ง
น้ำจำนวนมากจะระเหยกลายเป็นไอ ส่วนที่เหลือ
จึงมีปริมาณแร่ธาตุ ชนิดต่างๆ เข้มข้นขึ้นมาก
และเกินมาตรฐานการบริโภค น้ำที่ต้มเดือดนานๆ

ไอออนของซิลเวอร์ไนเตรทที่อยู่ในน้ำ จะเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนไตรท์
ซึ่งเป็นสารที่ให้โทษแก่ร่างกาย และแร่ธาตุบางอย่างที่เป็นโทษต่อร่างกาย
จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพราะการระเหยของน้ำ
และอาจมากจนเกินขีดจำกัด ความสามารถของร่างกาย ในการกำจัดขับถ่ายออกมา
จึงไม่ควรดื่มน้ำที่ ต้มเดือดแล้วหลาย ๆ ครั้ง ครับ
 
 

อาหารต้านมะเร็ง 5 ประการเพื่อการป้องกัน
1. รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก
เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ
เพื่อป้องกัน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลายกระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ

2. รับประทานอาหารที่มีกากมาก
เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่

3. รับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และไวตามินเอสูง เช่น ผัก ผลไม้สีเขียว-เหลือง
เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอดำ

4. รับประทานอาหารที่มีไวตามินซีสูงเช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ
เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร

5. ควบคุมน้ำหนักตัว..โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง
เช่น มดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่
 
6 อัศวินช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย
เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน และหัวใจวายแน่นอน

อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติ ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้ เป็นอย่างดีเยี่ยม
6 อัศวินตัวสำคัญนั้นคือ
1. มะเขือต่างๆ..
2. หอมหัวใหญ่..
3. กระเทียม
4. ถั่วเหลือง..
5. แอปเปิล..
6. โยเกิร์ต
วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ
ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน.
 

 
อาหารอันตรายเมื่อท้องว่าง
คุณทราบไหมว่าเมื่อท้องของคุณว่างแล้วคุณรับประทานอาหารเข้าไป
อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณได้ เพราะฉะนั้น
ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อน
อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง

กล้วย.. เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย
ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น
ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง
การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง

กระเทียม .. เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด
โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก.. การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง
จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ
นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน
เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง
จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย

นมและนมถั่วเหลือง .. แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน
แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร
มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย

เหล้า .. หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร
ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
น้ำตาลหรืออาหารหวาน. .. ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน
หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง
จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด
และลดสมรรถภาพกา รทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชา. .. ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย
ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน
ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ
มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ .. ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง
เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง
และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก
คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
 

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
กินผัก ผลไม้ ดื่มชา ลดความเสี่ยงมะเร็งปอด

Dr. Zuo-Feng Zhang นักวิจัยจาก University of California ตีพิมพ์ผลการวิจัย เกี่ยวกับ
ผลของการบริโภค ผัก ผลไม้ ชา สามารถลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคมะเร็งปอดได้
ลงในวารสารวิชาการ Cancer

เป็นที่ทราบกันดีว่า การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของมะเร็งปอด ถึง 90%
ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการคัดเลือก ผู้ป่วยมะเร็งปอด 558 คน และผู้ที่ไม่เป็นมะเร็งปอด 837 คน
แล้วทำการตรวจสอบประวัติการกินอาหาร ของกลุ่มทดลองทั้งสองกลุ่ม

ผลปรากฏว่า ผู้เข้าร่วมการวิจัยที่กินอาหารในที่มีสารอาหารกลุ่ม flavonoids
สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอดได้
โดยคาดว่าสารที่มีผลมากที่สุดคือ สารที่มีชื่อว่า catechin, kaempferol และ quercetin
ซึ่งพบในอาหารผัก ผลไม้ หลายชนิด ชาดำ และชาเขียว
โดยอาศัยกลไกต้านฤทธิ์ของการสูบบุหรี่ที่ทำให้ DNA เสียหาย

ในงานวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยให้ความเห็นว่า เป็นเพียงการเริ่มต้นไปสู่การศึกษาที่ใหญ่มากขึ้น
และเปรียบเทียบในมะเร็งชนิดอื่น ๆ ที่มีผลจากการสูบบุหรี่เช่นเดียวกัน
เช่น มะเร็งระบบศีรษะและคอ และมะเร็งของระบบทางเดินปัสสาวะ
ปริมาณการบริโภคอาหาร flavonoids สูงเหล่านี้ที่เหมาะสมที่จะลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้มากที่สุด
รวมทั้งการศึกษาเกี่ยวกับผลของ flavonoids ในระดับเซลล์ในห้องทดลองเพิ่มเติมอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ ผู้วิจัยคนเดียวกัน ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยเกี่ยวกับผลของชาเขียว
ในการป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะอาหารมาแล้ว

จาก Blognone

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
ภาวะไตเสื่อม

1. อ่อนเพลีย ขาดความกระตือรือร้น
2. นอนไม่ค่อยหลับ หลับไม่สนิท
3. ปัสสาวะบ่อย
4. ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย
5. จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย
6. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืม วิตกกังวล
7. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ
8. ขอบตาดำคล้ำ ผมหงอก ผมร่วงก่อนวัย

สาเหตุ
1. ใช้ชีวิตขาดสมดุล - ทำงานหนักไป เที่ยวหนัก
2. เพศสัมพันธ์ - มีมากเกิน ไตจะอ่อนแอลง
3. ทานยาบางอย่างนาน ปริมาณมาก - สะสมในไต

การปรับแก้
1. ปรับพฤติกรรม - พักผ่อนให้เพียงพอ
2. ออกกำลังกาย
3. ปรับอาหาร - ลดเนื้อสัตว์ ของมึนเมา
4. อยู่กับธรรมชาติให้มากขึ้น

ไตหยาง - ไตหดตัวแน่น
1. นอนไม่หลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ
2. นอนกัดฟัน ฝันร้ายบ่อย
3. อสุจิเคลื่อนตอนนอน
4. เหน็บชาบ่อย

สาเหตุ
1. ทานอาหารรสเค็มจัด เนื้อย่าง เนื้อแห้ง แดดเดียวบ่อย
2. ใช้ชีวิตขาดระเบียบ
3. นั่งทำงาน นั่งรถนาน

ไตหยิน - ไตคลาย
1. เฉื่อยชา เกียจคร้าน
2. ความต้องการทางเพศต่ำลง
3. ปวดเมื่อยหลังเอว
4. ปัสสาวะบ่อย ในเวลากลางคืน
5. นอนตื่นสาย
6. อารมณ์อ่อนไหวง่าย
7. ขี้หูมาก
8. เหงื่อออกมากผิดปกติ

การปรับแก้
1. งดน้ำเย็น น้ำแข็ง IceCream
2. งดของมึนเมา
3. งดผ้าใยสังเคราะห์ มีไฟฟ้าสถิตย์
4. อยู่กับธรรมชาติ
5. ออกกำลังกายกลางแจ้ง
6. พักผ่อนให้เพียงพอ
7. ลดการใส่ส้นสูง
8. นั่ง นอน ให้ถูกสุขลักษณะ


อาหารควรเลือก
1. ข้าวกล้อง
2. สาหร่ายทะเล
3. ถั่วแดง ผักสด ผลไม้รสไม่หวาน น้ำน้อย
4. เต้าเจี้ยว

« Last Edit: 28 ต.ค. , 2008, 02:04:38 am by fengshui »

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
ผลกระทบต่อกระดูกสันหลัง

1. การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด

2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า
    ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้

3. การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนาน ๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค
    มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ

5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่า ๆ กัน
   โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย

6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง

7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง

8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า
   โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว
   ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

9. การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ

10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ
     หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง
     หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
ดื่มน้ำน้อย เสี่ยงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

สถาบันนานาชาติไลฟ์ซายส์ (ILSI) และสถาบันวิจัยโภชนาการมหิดลจัดการประชุมวิชาการร่วมกัน..
. งานนี้ท่านอาจารย์ดอกเตอร์ห่าวยิง จาง ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและการเป็นอยู่ที่ดีจาก จีนกล่าวว่า

การดื่มน้ำน้อยเพิ่มความเสี่ยง (โอกาสเป็นโรค) มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะอักเสบ นิ่วในไต

คำอธิบายที่น่าจะเป็นไปได้ในเรื่องมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ คือ ของเสียในร่างกายส่วนใหญ่จะถูกแปรสภาพที่ตับ
ให้ละลายน้ำได้ดีขึ้น และขับออกทางไต

...

ของเสียที่ขับออกทางไตจะค้างอยู่ที่กระเพาะปัสสาวะนานมาก รอแล้วรอเล่าจนเจ้าของออกไปปัสสาวะจึงจะได้ปล่อยออกมา

ถ้าดื่มน้ำน้อย... ของเสียในกระเพาะปัสสาวะจะมีความเข้มข้นสูง ถ้าดื่มน้ำมากพอ...
ของเสียในกระเพาะปัสสาวะจะมีความเข้มข้นต่ำ แน่นอนว่า
สารเคมีที่มีความเข้มข้นสูงมักจะก่อพิษภัยได้มากกว่าสารเคมีที่มีความเข้ม ข้นต่ำ

...

ทีนี้ถ้าดื่มน้ำน้อย... กว่าจะปวดปัสสาวะจะเนิ่นนานออกไป ทำให้ของเสียค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะนาน
ตรงกันข้ามถ้าดื่มน้ำมากพอ... ไม่นานก็จะปวดปัสสาวะ และขับถ่ายออกไป

ท่านอาจารย์ รศ.ดร.กัลยา กิจบุญชู แห่งสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวว่า
 กลุ่มเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำส่วนใหญ่คือ เด็กและคนสูงอายุ

...

เด็กนั้นเล่นมากซนมาก เหงื่อออกมาก ส่วนคนสูงอายุนั้นดื่มน้ำน้อย ทำให้เสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ

หลายปีก่อนเกิดคลื่นความร้อนแผ่ไปในยุโรป ทำให้คนสูงอายุตายกันเป็นหมื่นคน สาเหตุหลักมาจากการขาดน้ำ


fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
กรดไหลย้อน

ที่มีชื่อเช่นนั้นก็เป็นเพราะโรคนี้เกิดจากการที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปบนหลอดอาหาร
จึงทำให้เกิดอาการเหล่านี้ แสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ หรือกลางหน้าอกหลังจากกินอาหารเสร็จ
เปรี้ยวหรือขมปากและคอ ท้องอืด จุก เสียด แน่นท้อง เจ็บคอหรือแสบปาก แสบลิ้น
ตอนเช้า ระคายคอ มีเสมหะ เรอ คลื่นไส้บ่อย กระแอมบ่อยๆ

อาการที่ว่านั้นถือว่ายังเบสิกนัก เพราะโรคนี้อาจมีอาการที่ไปพ้องกับโรคอื่นได้อย่างนึกไม่ถึง
อาทิ เจ็บหน้าอกเหมือนกับโรคหัวใจ เสียงแหบเรื้อรังหรือเสียงเปลี่ยนตอนเช้า ไอเรื้อรังสำลักน้ำลาย
หายใจไม่ออกตอนกลางคืน กลืนน้ำหรืออาหารติดขัดเหมือนมีก้อนจุกที่คอ ฟันผุ มีกลิ่นปาก
เป็นหืดแต่ไม่สามารถรักษาด้วยยาตามปกติได้ ปอดอักเสบเป็นๆ หายๆ

การที่กรดไหลย้อนขึ้นมาได้นั้นเกิดจาก หูรูด ของกระเพาะหรือหลอดอาหารไม่แข็งแรงหรือเกิดการคลายตัว

โดยปกติเมื่อกระเพาะบีบตัว ส่งน้ำย่อยออกมาเพื่อย่อยอาหาร หูรูดจะปิดรัดกันไม่ให้น้ำย่อยไหลย้อนกลับขึ้นไป
แต่เมื่อหูรูดไม่แข็งแรง เมื่อกระเพาะบีบตัวน้ำย่อยจึงไหลย้อนกลับขึ้นไป
แต่หลอดอาหารไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทนทานต่อน้ำย่อยได้เช่นเดียวกับกระเพาะ จึงเกิดอาการดังกล่าว

ถามว่าอันตรายไหม คำตอบก็คือ ถ้าเป็นแล้วรีบรักษา หรือทำให้อาการหายไปก็จะไม่มีอาการอย่างไร
แต่หากปล่อยไว้เนิ่นนาน อาจทำให้หลอดอาหารเกิดการอักเสบ เป็นแผลรุนแรงจนตีบ หรือเป็นมะเร็งที่หลอดอาหารได้
แต่...ความรุนแรงนี้จะมีได้เพียง 1% เท่านั้น

พ.ญ.อารยา เอี่ยมอุดมกาล อายุรแพทย์สาขาระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กล่าวว่า
สาเหตุที่ทำให้เกิดเป็นโรคนี้นั้นมีหลากหลาย อาทิ อ้วนหรือน้ำหนักเกินจะทำให้เกิดความดันในช่องท้องมากขึ้น,
เครียด ทำให้กระเพาะหลั่งกรดมากขึ้น, สูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่จะทำใหหลั่งกรดมากขึ้น,
ใส่เสื้อผ้าคับหรือรัดแน่นที่รอบเอวมากไป นอกจากนั้นแล้วการตั้งครรภ์ก็มีผลเพราะฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้หูรูดอ่อนแอลง
ขณะที่มดลูกที่ขยายตัวก็จะไปเบียดกระเพาะอาหาร

ส่วนวิธีการแก้หรือรักษานั้นมีตั้งแต่การกินยา ผ่าตัด

แต่วิธีที่ได้ผลดีที่สุดนั้นคือ การเปลี่ยนพฤติกรรม โดย หลีกเลี่ยง และ งด หลีกเลี่ยง-ชา กาแฟ และน้ำอัดลมทุกชนิด,
อาหารทอด, อาหารมัน อาหารที่มี ไขมันสูง, อาหารรสจัด, ผัก-ผลไม้เปรี้ยวหรือมีกลิ่นฉุนรุนแรงอย่าง
ส้ม มะนาว มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มินต์ และช็อกโกแลต

งด-บุหรี่และแอลกอฮอล์ เพราะนิโคตินจะเพิ่มกรดในกระเพาะและทำให้หูรูดอ่อนแอ ส่วนแอลกอฮอล์จะทำให้หูรูดเปิด

ดังนั้นผู้ที่ถูกอาการกรดไหลย้อนรุกรานควรปฏิบัติดังนี้
อย่ากินอิ่มเกินไป เพราะจะทำให้หูรูดหลอดอาหารเปิดง่ายขึ้น จึงควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ

ไม่ควรนอนหรือเอนกายหลังกินอาหารทันที ควรเว้นสัก 3 ชั่วโมง รอเวลาให้อาหารเคลื่อนจากกระเพาะไปก่อน
ลดแรงกดที่กระเพาะ เช่น ใส่เสื้อผ้ารัดติ้ว ใช้เข็มขัดรัดแน่น ก้มตัวไปข้างหน้า และอ้วน
ลดความเครียดด้วยการจัดสมดุลชีวิต

เลี่ยงการนอนตะแคงขวา เพราะท่านี้จะทำให้กระเพาะอยู่เหนือหลอดอาหารอาจทำให้อาการกำเริบได้
ส่วนใหญ่อาการจะเกิดตอนนอนราบ หรือตอนหลับ

วิธีแก้ คือเสริมหัวเตียงให้สูงขึ้นที่ไม่ใช่เป็นการนอนหมอนสูง
แต่เป็นการเสริมทั้งเตียงให้ยกขึ้น อาจจะใช้ก้อนอิฐหนุนด้านหัวเตียงให้สูงขึ้นราว 6 นิ้ว ช่วยป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนได้

การรักษานั้นโดยส่วนใหญ่แพทย์ก็จะให้ยาลดกรดหรือยาที่กระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารมากขึ้น
หากเกิดอาการมากๆ อาจจะต้องใช้การผ่าตัด

แม้จะมีวิธีรักษาหรือรู้วิธีช่วยบรรเทาแล้วก็ตาม
หากยังคงปฏิบัติหรือใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง กรดไหลย้อนก็จะยังคงย้อนวนเวียนกลับมาเหมือนเดิมนั่นเอง !!

ข้อมูลจาก http://matichon.co.th/prachachat/



fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
สารกลุ่มไดออกซินและ PCBs เป็นสารก่อมะเร็ง
นอกจากนั้นยังมีพิษต่อฮอร์โมน ผิวหนัง และระบบภูมิคุ้มกันโรค

สำนักป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐฯ รายงานว่า สารไดออกซินในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มาจากการเผา
เดิมส่วนใหญ่มาจากการเผาขยะของเทศบาล ต่อมาเทศบาลเผาขยะน้อยลง จึงพบว่า ส่วนใหญ่มาจากการเผาขยะของชาวบ้าน

แหล่งที่มาอื่นๆ ที่สำคัญได้แก่ การเผาไหม้ เช่น การสูบบุหรี่ การเผาไหม้เชื้อเพลิง โดยเฉพาะน้ำมันรถ การเผาศพ ฯลฯ
...

(1). ไดออกซินมาจากไหน

ไดออกซินเกิดจากการเผาไหม้ และมีที่ใช้ในหม้อแปลงไฟฟ้า สารหล่อลื่น หมึกพิมพ์ สารที่ใช้เคลือบวัสดุบางชนิด ใช้ผสมในพลาสติก
ทุกวันนี้มีการใช้สารไดออกซินน้อยลง ทว่า... สารเคมีที่ใช้ก่อนหน้านี้สลายตัวช้ามาก ทำให้สารนี้ตกค้างในสิ่งแวดล้อม
ดูดซึมเข้าไปในห่วงโซ่อาหาร เช่น จากดินซึมสู่หญ้า จากหญ้าเข้าสู่วัว จากวัวตกค้างในเนื้อวัว ฯลฯ


(2). ไดออกซินสะสมอย่างไร
ไดออกซินสะสมได้ดีในเนื้อเยื่อไขมัน และพบในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์บก ปลา ไข่ นม ฯลฯ


(3). กินอะไรเสี่ยงสูง
เนื้อจากไอร์แลนด์ส่งออกในรูปเนื้อแช่แข็ง เบคอน (หมูเค็ม) ไส้กรอก พิซซา แซนด์วิช
ซาลามิ (ไส้กรอกผสมกระเทียม) เจลาติน (สารคล้ายวุ้น) ที่ใช้ทำขนม


ไดออกซินก็คล้ายกับสารพิษส่วนใหญ่ที่สะสมผ่านห่วงโซ่อาหารจากดินสู่หญ้า จากหญ้าสู่สัตว์กินหญ้า เช่น วัว ควาย ฯลฯ
หรือจากดินสู่พืช เช่น ถั่วเหลือง ฯลฯ จากพืชสู่สัตว์ในฟาร์ม เช่น หมู ฯลฯ
มีการสะสมผ่านเนื้อเยื่อไขมัน ทำให้ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์มีโอกาสได้รับสารพิษปนเปื้อน


(4). เมืองไทยเสี่ยงไหม

โอกาสที่พวกเราจะกินเนื้อหมูจากไอร์แลนด์คงมีน้อย ยกเว้นพวกเราที่ชอบกิน "ของนอก" เช่น สเต๊กที่ใช้เนื้อนำเข้า ฯลฯ
เมืองไทยเราก็มีการเผาขยะ มีการเผาขยะติดเชื้อตามโรงพยาบาลต่างๆ เผาป่า (ในป่าก็มีขยะปนอยู่ไม่น้อย)
ทำให้เมืองไทยเราก็มีโอกาสได้รับพิษจากสารพิษไดออกซินเช่นกัน


(5). ทำอย่างไรดี
วิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการได้รับสารพิษหลายชนิดคือ ให้ลดการกินไขมันสัตว์ให้น้อยลง
เช่น ตัดไขมันสัตว์ออกก่อนปรุงอาหาร ฯลฯ ลดการกินอาหารที่ผสมไขมันสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อสำเร็จรูป
เช่น ไส้กรอก หมูแผ่น หมูหยอง หมูยอ เนื้อสวรรค์ ฯลฯ
กินเนื้อให้น้อยลงสักครึ่งหนึ่ง (ไม่สนับสนุนให้กินมังสวิรัติ) หันไปกินโปรตีนจากพืช เช่น ถั่ว เต้าหู้ นมถั่วเหลือง งา ฯลฯ เสริมเพิ่มเข้าไป

ถ้าดื่มนมหรือกินผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย ฯลฯ ควรเลือกชนิดไขมันต่ำ (low fat) หรือไม่มีไขมัน (non-fat)
เพื่อลดโอกาสได้รับไขมันจากนมให้น้อยลง

เมืองไทยเรามีสถิติมะเร็งปอดสูงที่สุดบริเวณเชียงใหม่กับลำปาง
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการเผาขยะ เผาใบไม้ และกิน
"ชิ้นปิ้ง (หมูปิ้งราดน้ำมันหมูเยิ้มจนน้ำมันตกลงบนเตา เกิดควันที่มีสารก่อมะเร็งลอยไปติดเนื้อนานนับชั่วโมง)"สูง

มีความเป็นไปได้ที่ว่า มะเร็งปอดอาจมาจากการ "เผา" ได้
เรียนเสนอให้พวกเราลดการกินเจ้า "ชิ้นปิ้ง" หรือเลิกกินไปเลยยิ่งดี
และอย่าลืมว่า ถ้าไม่สูบบุหรี่ได้... นั่นดีที่สุด
ถ้าสูบบุหรี่แล้ว... ควรหาทางเลิกให้ได้ หรือถ้าเลิกไม่ได้จริงๆ ควรลดปริมาณการสูบให้น้อยลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งจึงจะดี



fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
ท่านอาจารย์ดอกเตอร์นายแพทย์เจมส์ ริพพ์ ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ และคณะ แห่งสถาบันไลฟ์สไตล์ (แบบแผนการใช้ชีวิต)
ริพพ์ ชิวส์บิวรี แมสซาชูเซทส์ สหรัฐฯ ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 12,000 คน โดยนำข้อมูลจากการสำรวจข้อมูลภาครัฐ 3 ชุดมาประมวลผล

ผลการศึกษาพบว่า

(1). ผู้หญิงที่กินอาหารเช้า อ้วนน้อยกว่าผู้หญิงที่ไม่กินอาหารเช้า ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทใด

(2). ผู้ชายที่กินข้าวเช้ากำลังงานต่ำ เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ฯลฯ) ผัก ผลไม้ทั้งผล ถั่ว ฯลฯ
      มีแนวโน้มจะได้สารอาหารครบทุกหมู่มากกว่า และอ้วนน้อยกว่า

ผู้ชายที่กินอาหารเช้าประเภทอาหารขยะ หรืออาหารเช้ากำลังงานสูง เช่น อาหารผัดๆ ทอดๆ โดนัท ฯลฯ
ไม่มีแนวโน้มจะผอมลงเมื่อเทียบกับผู้ชายที่ไม่กินอาหารเช้า

...

(3). คนที่กินอาหารเช้าประเภทธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ฯลฯ
มักจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าคนที่ไม่กินข้าวเช้า หรือกินอาหารเช้าแบบไม่มีธัญพืช เช่น สเต๊ก ไข่ ฯลฯ

(4). คนที่กินอาหารเช้ากำลังงานต่ำ มีแนวโน้มจะกินอาหารสุขภาพในมื้ออื่นๆ ตลอดวันเพิ่มขึ้น
เมื่อเทียบกับคนที่กินอาหรเช้ากำลังงานสูง เข้าทำนอง "เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง" หรืออะไรทำนองนั้น