28 มี.ค. , 2024, 10:19:42 pm

Author Topic: สุขภาพ : แพทย์แผนจีน  (Read 17456 times)

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
สุขภาพ : แพทย์แผนจีน
« on: 01 ธ.ค. , 2008, 07:54:34 am »
ดูแลสุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์จีน

ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูลแนะนำเคล็ดลับการรักษาสุขภาพตามศาสตร์แพทย์แผนจีน
ตีพิมพ์ในวารสารหมอชาวบ้าน  ท่านแนะนำเคล็ดลับไว้ 12 ข้อดังต่อไปนี้...

1. หวีผมบ่อยๆ:
    หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรงเบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)

2. ถูใบหน้าบ่อยๆ:
     ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถูหน้าเบาๆ บ่อยหน่อย
     เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง

3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ:
     ให้ มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้องอะไรนานๆ
     โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง

4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ:
      การ ดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย(ใต้สะดือ)
      สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว

5. ขบฟันบ่อยๆ:
      ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ:
    การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลังลมปราณตู๋และเยิ่น
    ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย

7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ:
    การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8. หมั่นขับของเสีย:
      หมั่น ขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระ...
      ให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น
      การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ(กลับเข้าสู่ร่างกาย)มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย

9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ:
     ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น

10. ขมิบก้นบ่อยๆ:
      การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก

11. เคลื่อนไหวทุกข้อ:
     การ อยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน
     ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท้เก้ก โยคะ ฯลฯ

12. ถูผิวหนังบ่อยๆ:
      ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้เลือดและพลังไหลเวียนดี

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
Re: สุขภาพ : แพทย์แผนจีน
« Reply #1 on: 01 ธ.ค. , 2008, 07:56:33 am »
เปิด 14 สมุนไพรจีน “ขจัดพิษ”รักษาโรคร้อนในยันมะเร็ง
“ดอกเก็กฮวย-หล่อฮั้งก้วย-ซัวเซียม-เหง็กเต็ก-ชะเอม”ยอดฮิตกินดับร้อนใน
‘กาฝากต้นหม่อน’ เพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาว ขณะที่ ‘แปะฮวยจั่วจิเช่า- พั้วกีไน้-โสม-เห็ดหลินจือ-เห็ดหอม’ป้องกันมะเร็ง
เตือน “สมุนไพรจีน”ต้องกินตามหมอจีนสั่ง หรือร้านขายยาสมุนไพรจีนโบราณแนะนำ


       
กระแสการรักสุขภาพมาแรงมากในช่วงนี้ด้วย โดยเฉพาะชาวจีนให้การยอมรับเรื่องการบริโภค “สมุนไพรจีน”เพื่อขจัดพิษ หรือล้างพิษ
ที่เกิดขึ้นในร่างกาย วันนี้โรงพยาบาลหลายแห่งในประเทศไทยได้เปิดแผนกแพทย์แผนจีน ซึ่งมีการจ่ายยาสมุนไพรจีนในการรักษาโรค
รวมไปถึงมีร้านขายยาสมุนไพรจีนอยู่จำนวนมาก แต่การจะบริโภคสมุนไพรจีนได้อย่างเหมาะสมและถูกต้องนั้น
ควรอย่างยิ่งต้องรู้จักสมุนไพรจีนตัวใดมีสรรพคุณอย่างไรด้วย
       
เปิด 13 สมุนไพรจีนฮิตรักษาโรค
       
       วิสุทธิ์ บริณายตานนท์ เถ้าแก่รุ่น 2 ร้านโอสถ ย่ง ซิว ตึ๊ง ไท้เชียง ร้านขายยาจีนโบราณย่านเยาวราช ที่เปิดขายมาประมาณ 80 ปี
เปิดเผยว่า สมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยาของจีนนั้นมีจำนวนมากมาย ตั้งแต่สมุนไพรจีนที่นิยมใช้มาประกอบอาหารไปจนสมุนไพรจีนหายาก
ที่มีฤทธิ์เป็นยา ซึ่งในการนำสมุนไพรจีนมาใช้นั้น จำเป็นจะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์แผนจีน หรือร้านขายยาสมุนไพรจีนที่มีความชำนาญ
เพราะสมุนไพรจีนเพื่อรักษาโรค มักจะต้องใช้ส่วนผสมเป็นสมุนไพรหลายตัว จำนวนมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของแต่ละคนด้วย
       
       สำหรับสมุนไพรจีนขจัดพิษหรือล้างพิษของจีนนั้น ก็มีสรรพคุณรักษาตั้งแต่พิษน้อยๆ อย่างพิษร้อน พิษเย็น ไปจนถึงสมุนไพรที่ช่วยป้องกันมะเร็ง รักษาโรคความดันโลหิต หัวใจ เบาหวาน ฯลฯ
       
       สำหรับพิษร้อนเช่น ร้อนใน เป็นไข้ ไอ มีเสมหะ มีสมุนไพรที่รู้จักกันดีหลายตัว ที่นิยมใช้กันได้แก่ ดอกเก็กฮวย,หล่อฮั้งก้วย,ซัวเซียม,
เหง็กเต็ก และชะเอม(กำเช่า)
       
       ‘ดอกเก็กฮวย’นั้น ทั้งคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีนมักนิยมนำมาทำชา มีสรรพคุณเป็นยาช่วยขับลม รักษาอาการปากแห้ง ร้อนใน
นัยน์ตาแห้ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิดรวมทั้ง สามารถปรับสมดุลและลดความดันโลหิตในร่างกาย
       
       ‘หล่อฮั้งก้วย’ มีลักษณะเป็นลูกกลม ชนิดผลใหญ่ ผลกลม เนื้อแน่น เขย่าไม่มีเสียง เปลือกสีเหลืองปนน้ำตาล จะถือว่ามีคุณภาพดี
มีรสหวานเป็นพิเศษ มีฤทธิ์เย็น สรรพคุณทางยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ขับเสมหะ อีกทั้งยังรักษาโรคไอกรน ท้องผูก โรคหลอดลมอักเสบ
หืด หอบ ได้อีกด้วย
       
       ‘ซัวเซียม’ หรือ ปักซัวเซียม มีรสหวานอมขมเล็กน้อย มีฤทธิ์เย็นเล็กน้อย สรรพคุณรักษาอาการไอ ไอเป็นเลือด เจ็บคอ กระหายน้ำ
บำรุงกระเพาะอาหาร (ห้ามผู้มีอาการไอเพราะความเย็นรับประทาน)
       
       ‘เหง็กเต็ก’ หรือไผ่หยก มีลักษณะเป็นไม้ล้มลุก มีใบคล้ายใบไผ่ ปลูกมากที่เหอหนาน เจียงซู เหลียวหนิง และซินซาว มณฑลเจ้อเจียงที่ถือว่ามีคุณภาพดีที่สุด สรรพคุณลดความดันโลหิต กระตุ้นหัวใจ ดับร้อนใน และขับปัสสาวะ
       
       ‘ชะเอม’ หรือ กำเช่า ใช้ส่วนราก มีรสหวานมีฤทธิ์ปานกลาง สรรพคุณ แก้ร้อนใน แก้โรคกระเพาะอาหาร แก้ไอ รักษาใจสั่น โรคลมชัก
แก้อาหารเป็นพิษ มีสาร Glycyrrhizin สามารถดูดซับสารพิษ และจับสารพิษเพื่อขับออกทางตับ อีกทั้งสามารถถอนพิษจากยาฆ่าแมลงได้ด้วย
       


       ‘สมุนไพรร้อน’ขจัดเย็น
       
       ขณะที่ร่างกายหากมีความเย็นมากเกินไป (หยาง) ก็สามารถใช้ยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนขจัดได้ ที่นิยมและมีชื่อเสียงมากได้แก่
ตังกุย และโสมเกาหลี
       
       ‘ตังกุย’ มีรสหวานเผ็ด มีฤทธิ์ร้อนเล็กน้อย มักใช้เป็นยาบำรุงเลือด ปรับการไหลเวียนของเลือดให้เป็นปกติ แก้อาการปวดประจำเดือน
ประจำเดือนมามาก อาการท้องผูก อีกทั้งมีฤทธิ์กระตุ้นและระงับการทำงานของมดลูกด้วย
       
       ‘โสมเกาหลี’ มีชื่อเสียงมากในหมู่คนนิยมรับประทานโสม และในหมู่การแพทย์แผนจีนโดยเฉพาะโสมแดง สรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง
บำรุงเลือด เสริมสมรรถภาพทางเพศ ลดน้ำตาลในเลือด รักษาความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบ ตัน
(หากมีไข้และท้องผูกไม่ควรรับประทาน)
       
       ‘กาฝากต้นหม่อน’ เพิ่มเม็ดเลือดขาว
       
       สำหรับโรคต่างๆ นั้น หากเป็นโรคความดันจากไขมัน สมุนไพรที่รักษาได้ดีคือ ‘ซัวจา’ เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งกินได้ทั้งสดและแห้ง มีรสเปรี้ยวหวาน ฤทธิ์อ่อน มีฤทธิ์ช่วยย่อยอาหาร ขับพยาธิ ท้องร่วง กระตุ้นให้มดลูกเข้าอู่หลังคลอดบุตร ลดความดันโลหิต และลดคลอเรสเตอรอลในเลือด
       
       นอกจากนี้ยังมี ‘กาฝากต้นหม่อน’ หรือ เช่าเก็ง เป็นยาบำรุงเลือด รักษาโรคหัวใจ ความดัน ไขข้อรูมาติค ที่มีคุณภาพดีมาจากมณฑลกวางสี มีรสขมหวาน ฤทธิ์ปานกลาง เป็นยาบำรุงไต มีฤทธิขับปัสสาวะ ต้านแบคทีเรีย และสามารถเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวซึ่งมีหน้าที่ขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ด้วย
       

       5 สมุนไพรจีนป้องกันมะเร็ง
       
       ส่วนสมุนไพรจีนใช้รักษาโรคมะเร็งเด่นๆ คือ แปะฮวยจั่วจิเช่า หรือ หมากดิบน้ำค้าง พั้วกีไน้ โสม และเห็ดหอม
       
       ‘แปะฮวยจั่วจิเช่า’ เป็นพืชจำพวกหญ้า มีรสเผ็ดขมนิดๆ ฤทธิ์เย็นไม่มีพิษ สรรพคุณดับร้อนใน ดับพิษ ทำให้เลือดและลำไส้เย็น ลำไส้อักเสบ ไทฟอยด์ ไอเพราะปอดร้อน ปวดฟัน และป้องกันมะเร็งได้ (ผู้ที่ธาตุไฟอ่อนห้ามรับประทาน)
       
       ‘พั๊วกีไน้’ เป็นยาขับถ่าย ถอนพิษ แก้มะเร็ง โดยคนเป็นมะเร็งสามารถนำมาต้มกินแทนน้ำ กระหายน้ำได้
       
       ‘โสม’ มีอีกสรรพคุณคือมีสารบางอย่างที่สามารถกำจัดและทำลายพืช รวมไปถึงสิ่งแปลกปลอมที่จะทำให้เซลล์เจริญเติบโตผิดปกติได้ มีฤทธิ์ป้องกันโรคมะเร็ง และยืดอายุผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ส่วนมากมักนำโสมมาใช้ในผู้ป่วยที่เข้ารักษาด้วยวิธีการเคมีบำบัด อีกทั้งเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย (ควรรับประทานขณะท้องว่าง)
       
       ‘เห็ดหลินจือ’ หรือ เหล่งจูโกว มีรสหวาน ฤทธิ์ปานกลาง บำรุงแก้อาการอ่อนเพลีย ขับเสมหะ หอบหืด นอนไม่หลับ รักษาโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ป้องกันโรคตับอักเสบจากการขับสารพิษออกจากร่างกาย และป้องกันมะเร็ง
       
       ‘เห็ดหอม’ มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทย์แห่งรัฐเซาท์แคโรไรนา ประเทศสหรัฐอเมริกาและสถาบันมะเร็งแห่งชาติประเทศญี่ปุ่น รายงานว่า เห็ดหอมจะช่วยลดคลอเรสเตอรอลได้ดีเยี่ยม และเห็ดหอมยังมีสารเลนติแนน และสารริทาดินีน ต้านเซลล์มะเร็งได้ด้วย โดยเฉพาะมะเร็งในลำไส้และมะเร็งในกระเพาะอาหาร
       
       อย่างไรก็ดีในการรับประทานยาจีนที่ถูกต้อง ควรมีการต้มตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงขึ้นไป(อยู่ที่ตัวยามากหรือน้อย) และควรรับประทานก่อนอาหาร โดยการต้มด้วยหม้อดินและภาชนะเคลือบจะให้ผลดีมากกว่าภาชนะแสตนเลส ทั้งนี้การรับประทานสมุนไพรจีนเพื่อรักษาโรค จำเป็นต้องให้แพทย์แผนจีนเป็นคนวินิจฉัยตามสภาพร่างกายที่ไม่เหมือนกันในแต่ละคน หรือต้องได้รับคำแนะนำจากร้านยาสมุนไพรจีนโดยเฉพาะ
       
       นอกจากนี้ สามารถหาอ่านข้อมูลสมุนไพรจีนเพิ่มเติมได้จาก ยาจีนและอาหารบำรุงสุขภาพ เรียบเรียงโดยมิ่งมิตร นวรัตน์2542 ,ยาสมุนไพรจีน 100 ชนิด รวบรวมโดย บุญชัย ฉัตตะวานิช,ยาจีน โดย วีระชัย มาศฉมาดล ทัศนีย์ เมฆอริยะ2531 ,มหัศจรรย์แห่งโสม เรียบเรียงโดยนวลปราง ฉ่องใจ2537 ,และจิบชา เพิ่มพลัง ต้นโรค หยุดมะเร็ง เรียบเรียงโดยภานุทรรศน์ 2544

จาก ผู้จัดการ

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
Re: สุขภาพ : แพทย์แผนจีน
« Reply #2 on: 01 ธ.ค. , 2008, 07:59:11 am »
คนเรามีเวลาวันละ 24 ชั่วโมง คุณเทียนหลาง(นามปากกา)เขียนเรื่อง “นาฬิกาชีวิต เพื่อสุขภาพ”
ในสารสหกรณ์ออมทรัพย์สาธารณสุขลำปาง ท่านแบ่งเวลาในแต่ละวันออกเป็น 12 ช่วงๆ ละ 2 ชั่วโมง

ใครทำตามหลักนาฬิกาชีวิตได้น่าจะมีสุขภาพดี โดยเฉพาะการนอนเร็วหน่อย
ตื่นเช้าหน่อย ถ่าย(อุจจาระ)ทุกเช้า กินข้าวเช้า ออกกำลังทุกวัน
และที่โดดเด่นมากคงจะเป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ(19.00-21.00 น.)
ซึ่งควรจะทำใจให้ดี เป็นบุญเป็นกุศล เตรียมเข้านอน จะได้หลับดีฝันดี

    * 01.00-03.00 น. ช่วงเวลาของตับ ควรนอนพักผ่อน ใครนอนหลับดีในช่วงเวลานี้จะทำให้หน้าอ่อนวัย
    * 03.00-05.00 น. ช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอน สูดอากาศบริสุทธิ์ และรับแสงแดดยามเช้า คนที่ตื่นเช้าจะมีปอดดี ผิวดี
    * 05.00-07.00 น. ช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ จึงควรขับถ่ายให้เป็นนิสัย โดยดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว หรือดื่มน้ำผสมมะนาว ลำไส้ใหญ่จะได้แข็งแรง
    * 07.00-09.00 น. ช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร ควรกินข้าวเช้า คนที่ไม่กินข้าวเช้าจะเป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล หน้าแก่เร็ว
    * 09.00-11.00 น. ช่วงเวลาของม้าม ม้ามจะทำงานหนัก ให้พูดน้อย กินน้อย ไม่นอนในช่วงนี้
    * 11.00-13.00 น. ช่วงเวลาของหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงความเครียด และหาทางระงับความตื่นเต้น
 
   * 13.00-15.00 น. ช่วงเวลาของลำไส้เล็ก ควรงดอาหารทุกประเภท(ยกเว้นน้ำ) เพื่อให้ลำไส้เล็กได้ทำงานเต็มที่
    * 15.00-17.00 น. ช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ ควรออกกำลังกาย หรืออบตัวให้เหงื่อออกมากๆ และไม่กลั้นปัสสาวะ
    * 17.00-19.00 น. ช่วงเวลาของไต ควรทำตัวให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอน
    * 19.00-21.00 น. ช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ควรสวดมนต์ ทำสมาธิ หลีกเลี่ยงเรื่องเร้าใจ เช่น ไม่ควรดูหนังโทรทัศน์
                             เป็นการเตรียมกายเตรียมใจไว้สำหรับการเข้านอน
    * 21.00-23.00 น. ช่วงเวลาของระบบความร้อน ไม่ควรอาบน้ำเย็น เพราะจะป่วยง่าย
    * 23.00-01.00 น. ช่วงเวลาของถุงน้ำดี ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ โดยดื่มน้ำให้พอตลอดทั้งวัน
                              ถ้าร่างกายขาดน้ำในช่วงนี้ น้ำดีจะข้น ทำให้อารมณ์ฉุนเฉียว จามตอนเช้า หรือปวดหัวได้ง่าย


fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
Re: สุขภาพ : แพทย์แผนจีน
« Reply #3 on: 08 ธ.ค. , 2008, 01:32:51 am »
ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีน
แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า
อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมาก และนำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดยใช้หลักแพทย์แผนปัจจุบันประกอบ

อาหารที่ไม่ควรกินมากเกิน หรือบ่อยเกินได้แก่

1. ไข่เยี่ยวม้า:
ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง
กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ

2. ปาท่องโก๋:
กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป
นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย

3. เนื้อย่าง: กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

4. ผักดอง:
ผักดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง
ถ้ากินบ่อยเกินหรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย
นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

5. ตับหมู:
ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ
เส้นเลือดสมอง (อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น

6. ผักขม ปวยเล้ง:
ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง แต่ว่ามีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก
การกินบ่อยเกิน หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียม หรือสังกะสีได้

7. บะหมี่สำเร็จรูป:
บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ
การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหาร และการสะสมสารพิษได้

8. เมล็ดทานตะวัน:
เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง แต่การกินมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ
ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ ภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯ เพิ่มขึ้น

9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้:
กระบวนการหมักเต้าหู้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย… ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุ หรือเด็กเล็กได้
นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย

10. ผงชูรส:
คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา
การกินผงชูรสมากเกิน หรือบ่อยเกินทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูง
อาจทำให้ปวดหัวใจสั่น คลื่นไส้ และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์