19 เม.ย. , 2024, 06:18:06 pm

Author Topic: *** รวมข้อคิดจาก ท่าน ว.วชิรเมธี  (Read 27673 times)

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
พรปีใหม่ 2552 จากท่าน ว.วชิรเมธี


ขอบคุณความไม่มี                          ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้

ขอบคุณความยากจน                    ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ

ขอบคุณความล้มเหลว                 ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ

ขอบคุณความผิดพลาด                ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม

ขอบคุณความริษยา                      ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่

ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์           ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

ขอบคุณความไม่รู้                        ที่ทำให้รู้จักครูชื่อประสบการณ์

ขอบคุณความผิดหวัง                 ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่

ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า            ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น       ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่

ขอบคุณความป่วยไข้                 ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ

ขอบคุณความทุกข์                     ที่ทำให้รู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

ขอบคุณความพลัดพราก          ที่ทำให้เราสละจากความยึดติดถือมั่น

ขอบคุณเพลิงกิเลส                    ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน

ขอบคุณความตาย                      ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ

ส.ค.ส. 2552

ว.วชิรเมธี

1 มกราคม 2552
« Last Edit: 28 ก.ย. , 2010, 01:42:00 am by fengshui »

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
๒๐ คำถามกับท่าน ว.วชิรเมธี


ว.วชิรเมธี, ธรรมะ, มหัศจรรย์แห่งชีวิต


บางส่วนจากหนังสือมหัศจรรย์แห่งชีวิต ๗ หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี

๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?

ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ


๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?

(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง


๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?

ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข


๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?

งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน


๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?

โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง


๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?

(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา


๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?

เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้


๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?

(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ


๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?

โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา


๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?

(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอดจ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่


๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?

คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย


๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?

ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาปแทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า


๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?

ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน


๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?

มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ


๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?

(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง


๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?

(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง


๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?

(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด


๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?

(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอ ดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน


๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?

ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน


๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?

ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
ศักยภาพของความคิด กัลยาณมิตรช่วยให้คิดเป็น


พรปีใหม่ 2553 โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี

พลังทั้ง 4 เพื่อความสวัสดีของสังคมไทย

สังคมไทยป่วยด้วยโรค ′การเมืองวิกฤต เศรษฐกิจวิกล คนวิวาท ชาติวิโยค′ มาหลายปี การจะหายจากโรคนี้ได้
คนไทยต้องร่วมกันสร้าง ′พลัง′ แห่งธรรมะ 4 ประการขึ้นมาในใจของแต่ละคน ธรรมะที่จะทำให้สังคมไทยมีพลังทั้ง 4 ประการคือ

1) พลังปัญญา = ลดการใช้ความรู้สึกลง เพิ่มการใช้เหตุผลให้มากขึ้น
2) พลังความเพียร = ลดการพึ่งไสยศาสตร์ลง พึ่งตนเองให้มากขึ้น
3) พลังความสุจริต = ลดการทุจริตลง เพิ่มความซื่อสัตย์โปร่งใสให้มากขึ้น
4) พลังความสามัคคี = ลดการขัดแย้งลง เพิ่มความสามัคคีให้มากขึ้น

ขอความสวัสดีจงมีแก่สรรพชีพ สรรพสัตว์ ในที่ทุกสถานในการทุกเมื่อเทอญ

พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
สถาบันการศึกษา วิจัย ภาวนา เพื่อสันติภาพโลก


ก่อนอื่นขอให้เรามาดูความสำคัญของความคิด
คนทุกคนเกิดมาย่อมคิดได้อยู่แล้ว ความสามารถที่จะคิดได้นั้นเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดของจิต

จิตแต่ละดวงนี้มีศักยภาพที่จะคิด คำว่าจิตนี้แปลว่า คิด ก็ได้ แปลว่า วิจิตร คือ สวยงาม ก็ได้ เพราะฉะนั้นจิตกับความคิดนี้ก็คือตัวเดียวกัน

คนทุกคนเกิดมาต่างก็คิดได้แต่มีบางคนเท่านั้นที่คิดเป็น คิดได้ คือ คิดอะไรก็ได้
แต่คิดเป็นต้องมีหลักวิชา หรือมีวิธีการ พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า คนในโลกนี้มี 3 ประเภท คือ

1.ต่อให้พบพระพุทธเจ้าหรือไม่พบพระพุทธเจ้า เขาก็ได้บรรลุธรรม

2.พบพระพุทธเจ้าจึงได้บรรลุธรรม ไม่พบไม่บรรลุธรรม

3.ไม่บรรลุธรรม ถึงแม้จะพบพระพุทธเจ้าหรือไม่พบก็ตาม

คนประเภทที่หนึ่งนั้นชีวิตไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าเลย อยู่ไปใช้ชีวิตไป เห็นใบไม้ปลิดปลิวจากขั้วหล่นลงมาสู่ผืนดิน โอ้...ชีวิตไม่เที่ยง บรรลุธรรม เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า คนอย่างนี้เขาเรียกว่า “คนระดับมหาบุรุษ” คือเข้าใจโลกและชีวิตตามความเป็นจริง หมดกิเลสได้โดยไม่ต้องพึ่งกัลยาณมิตรอย่างพระพุทธเจ้า

คนทุกคนมีศักยภาพในการคิด แต่คนส่วนใหญ่จะคิดเป็นก็ต่อเมื่อได้อาศัยกัลยาณมิตร คือ มีคนมาคอยช่วยคิด เราเรียกว่า กัลยาณมิตร

มิตรนั้นมีด้วยกัน 3 ประเภท ได้แก่

1.ปาปมิตร คนที่เราคบแล้ว คนที่เราไปนั่งใกล้แล้ว เขาจะถ่ายโอนความชั่วให้เรา เราไม่เคยแย่เลยพอไปนั่งใกล้เขาเราจะแย่ เราไม่เคยง่วงเลยพอไปนั่งใกล้คนนี้เขาพาเราง่วง เรานั่งหลังตรงอยู่ดีๆ แต่พอเราไปนั่งใกล้คนนี้เหมือนหลังงอเลย หมายความว่าคนที่เราคบแล้วชีวิตเราตกต่ำลงๆ อันนั้นคือ ปาปมิตร

2.กัลยาณมิตร คนที่เราคบแล้วชีวิตเราดีขึ้นเหมือนพระจันทร์ในคืนข้างขึ้น สว่างเรืองขึ้นไปๆ จนในที่สุดพระจันทร์เต็มดวง สว่างเรืองเต็มนภากาศ คนที่คบแล้วชีวิตดีขึ้น อันนี้เรียกว่า กัลยาณมิตร

3.พันธมิตร คนที่คบแล้วผลประโยชน์ลงตัว ดีต่อกันเหลือเกินนับกันเป็นพี่เป็นน้อง คุณน้องขา คุณพี่ขา ไม่ต้องห่วงนะคะมื้อนี้พี่เลี้ยงคะ แล้วก็ทำธุรกิจด้วยกันอะไรก็ดีหมด แต่วันหนึ่งมีการหักหลังกันเกิดขึ้น วันพระไม่ได้มีหนเดียว และก็ย้อนกลับมาเล่นงานกัน อันนี้เรียกว่า พันธมิตร คือ เพื่อนที่ผูกพันกันด้วยผลประโยชน์

คนทั่วๆ ไปจะมีศักยภาพในการคิดเป็นก็ต่อเมื่อได้พบกับกัลยาณมิตร แต่คนระดับมหาบุรุษต่อให้ไม่มีกัลยาณมิตรก็คิดด้วยตัวเองเป็น เพราะฉะนั้นศักยภาพที่จะคิดนั้นทุกคนมีอยู่แล้ว แต่คนที่จะคิดเป็นนั้นมีเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ถ้าเปรียบเป็นน้ำแข็งที่อยู่ในแก้ว ก็คือหนึ่งส่วนสิบที่โผล่มา แล้วก็เก้าส่วนนั้นจมอยู่ในแก้ว คนระดับมหาบุรุษที่คิดเองเป็นมีนิดเดียว ส่วนคนที่จะคิดเป็นอย่างเราๆ ท่านๆ ทั้งหลายก็ต้องอาศัยกัลยาณมิตร

ทีนี้พอมีกัลยาณมิตร เช่น มีพ่อแม่ มีครูบาอาจารย์ มีตำรับตำรา มีพระไตรปิฎก อ่านก็แล้ว ฟังก็แล้ว ลงมือศึกษาด้วยตนเองก็แล้ว เอ๊ะ...ชีวิตไม่เห็นดีขึ้นเลย กัลยาณมิตรก็มีแล้ว แต่ทำไมชีวิตคุณยังไม่เปลี่ยน เพราะเรามีกัลยาณมิตรแต่เรายังคิดไม่ได้ นั่นเพราะเราขาดทักษะในการคิด

ขอยกตัวอย่าง มีคนไทยคนหนึ่ง ชื่อ ดร.สมไทย วงษ์เจริญ เพิ่งออกรายการเจาะใจไปเมื่อไม่นานมานี้ เรียนจบแค่ชั้นมัธยมต้น อยากเป็นพ่อค้า ทำมาหากินทุกรูปแบบไม่รวย จนรู้สึกท้อชีวิต ฟังให้ดีนะเรื่องนี้มีจุดเปลี่ยนอยู่ตรงนี้

เขารู้สึกท้อกับชีวิตมาก วันหนึ่งไปกราบพระพุทธชินราช ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก กราบเสร็จแล้วก็ตั้งจิตอธิษฐาน “ขอเดชะคุณพระคุณเจ้า ลูกสู้มาจนไม่มีทางไปแล้ว ลูกสู้มาจนหมดทางถอย หลวงพ่อช่วยดลใจให้ลูกค้นพบทางรอดหน่อยได้ไหม” กราบพระพุทธชินราชเสร็จแล้ว กลับออกมานั่งหน้าโบสถ์ซื้อโอเลี้ยงมานั่งจิบแก้กระหาย

สักพักมีคุณลุงสูงอายุคนหนึ่งขับซาเล้งผ่านมาตรงนั้น ปั่นซาเล้งมาแล้วก็มาซื้อโอเลี้ยงตรงจุดเดียวกัน แกสังเกตเห็นว่า เอ...ทำไมหน้าตาคุณลุงคนนี้สดชื่นนักนะ ดูสภาพการแต่งกายของแกมันดูมอมแมมกระดำกระด่างเหลือเกิน แต่ทำไมดูสีหน้าท่าทางมีความสุข ไม่เหมือนกับเราที่ใส่สูทผูกเนกไท แต่ทำไมเราไม่มีความสุข ความที่เขาเป็นคนช่างสังเกต เอ๊ะ...ทำไมสีหน้าท่าทางมันตรงกันข้ามกับการแต่งตัว ก็เดินเข้าไปถามลุง

“ลุงทำมาหากินอะไร...”
“ลุงขายขยะ อย่าถามเลย ใครๆ เขาก็รังเกียจลุง เสื้อลุงเหม็นลองดมดูซิ”

ขายขยะ ถูกดูถูกดูแคลนมาก แต่ทำไมหน้าตาดูสดชื่น แกก็เลยถามลุง

“ลุง แล้วลุงมีรายได้วันละเท่าไหร่”

“มันแล้วแต่วันนะคุณ” ลุงตอบ

“อย่างเช่นวันนี้ลุงได้เท่าไหร่” เขาถามต่อด้วยความอยากรู้

“วันนี้ลุงก็ได้ประมาณ 3,000 บาท”
“แล้วเมื่อวานลุงได้เท่าไหร่”

“เมื่อวานงานไม่เข้าได้ 2,000 บาท”

“แล้วอย่างต่ำสุดลุงได้เท่าไหร่”

“ต่ำสุดก็ประมาณ 600-700 บาท”

“ลุงทำมากี่ปี”

“ก็ประมาณสิบปี”

“ลุงรวยไหม”

“ลูกชายของลุงคนโตตอนนี้เรียนอยู่ที่อเมริกา คนเล็กเพิ่งจบปริญญาตรี”

“ขายขยะนี่เหรอลุง”

“ก็ขายขยะนี่แหละ”

“แล้วลุงช่วยกันกี่คน”

“ก็คนเดียวคันเดียวนี่แหละ”

“ขอบคุณครับลุง”

เขารีบกลับบ้านขอยืมเงินพ่อสองหมื่นบาท ไปดาวน์รถกระบะเก่าๆ มาหนึ่งคัน เหลือเงินสดอีกก้อนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นเอารถกระบะไปจอดที่ภูเขาขยะ ภายในสองเดือนผู้ชายคนนี้ซื้อรถใหม่ป้ายแดงไปให้พ่อหนึ่งคัน แกเล่าว่า วันแรกที่ไปบอกพ่อว่า พ่อลูกขอยืมเงินไปดาวน์รถ ลูกจะขายขยะ พ่อกับแม่ประกาศว่า ถ้าแกจะขายขยะเพื่อหากิน แกไปเปลี่ยนนามสกุล ตระกูลเราไม่เคยมีใครทำอาชีพต่ำขนาดนี้ แล้วแกอย่าเข้าบ้านนะ

ผู้ชายคนนี้หายไปสองเดือนกลับมาพร้อมรถใหม่อีกคันหนึ่งแล้วก็บอกว่า พ่อ ผมว่าบ้านพ่อมันเก่านะ ผมจะสร้างให้ใหม่ ฝ่ายพ่อก็งง ถามลูกชายไปว่า เฮ้ย...แกไปขโมย ไปฉกชิงวิ่งราวใครมารึเปล่า ไปขายยาเสพติดรึเปล่า ลูกชายก็บอกว่า พ่อไม่เชื่อผมใช่ไหม ไปพ่อไปกับผม ก็ขับรถพาพ่อไปดูสถานที่ทำงานที่กองขยะ ภูเขาขยะ เขาจ้างคนประมาณยี่สิบคนขนขยะ แล้วซื้อขายกันตรงนั้น เสร็จแล้วก็ไปขายต่อให้กับบริษัทที่รับรีไซเคิลขยะ

ขณะนี้ผู้ชายคนนี้เป็นคนกำหนดราคาเหล็กในเอเชีย ส่วนที่เป็นเศษขยะนะ และเอเชียอาคเนย์มีบริษัทของเขาเข้าไปตั้งและรับซื้อขยะทุกประเทศ ตอนนี้มีสาขาอยู่เกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย ในกัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย พม่า ลาว มีบริษัทของเขาเข้าไปตั้งอยู่แล้วก็รับซื้อขยะ มีคนงานอยู่เป็นหลักหมื่นคน เขาเล่าต่อไปว่า หลังจากนั้นพ่อก็ยอมรับเป็นลูกเหมือนเดิม แล้วเร็วๆ นี้เขาก็ได้รับการมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เขาบอกมันยิ่งใหญ่มาก

วันหนึ่งไปซื้อปากกาธรรมดาๆ ปากกาปลอมด้ามทอง มีคนมาขอดูพร้อมชมว่า ปากกาสวยจัง เขาบอกว่า คนเราพอไม่มีเงินเอาของจริงมาใส่ คนหาว่าใส่ของปลอม พอมีเงินมีทองเอาของปลอมมาใส่ คนบอกว่ามันของดี แล้วมีนักข่าวไปสัมภาษณ์เขาว่า คำว่ามหาวิทยาลัยในทัศนะของคุณคืออะไร เขาถามว่าอะไรนะ คำว่ามหาวิทยาลัยในทัศนะของดอกเตอร์คืออะไรครับ ดอกเตอร์ก็ตอบ คำว่ามหาวิทยาลัยในทัศนะของผมมีความหมายเท่ากับคำว่า มาหาอะไร เพราะเวลาใครเจอเขา จะเจอได้ตามกองขยะไง เมื่อมีคนถามเขาว่า มาหาอะไร เขาก็ไปชี้ให้ดูตามกองขยะ แล้วบอกว่า มาหาทองในกองขยะ คนทั่วไปไม่รู้ว่า ในกองขยะนั้น มีแต่ทองทั้งนั้นเลย

ทุกวันนี้ผู้ชายคนนี้มีเงินในระดับที่เรียกกันว่า ร้อยล้าน พันล้าน เป็นนักธุรกิจใหญ่แล้วก็ปริญญาดุษฎีบัณฑิตทยอยพาเหรดเข้าไป ประดับเกียรติยศให้เขา ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่อาศัยกัลยาณมิตร คือผู้ชายคนที่ขับซาเล้งขายของเก่าคนนั้น และเขามีศักยภาพของความคิดคือมีโยนิโสมนสิการภายใน คนปั่นซาเล้งคนนั้นก็คงปั่นไปแล้วทั่วเมืองพิษณุโลก ซื้อของเก่าแต่ไม่มีใครรวยเพราะคนปั่นซาเล้ง มีแต่ดร.สมไทย คนนี้รวย เพราะเขาเห็นแล้วเขามีศักยภาพในการใช้ความคิด

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
ฟังหลักคิด 'ท่านว.วชิรเมธี' เตือนสติพ่อแม่ เลี้ยงลูกให้เป็น

ข่าวจาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
............................................................................

หากพูดถึง 'งานเลี้ยงลูก' ถือเป็นงานใหญ่ และสำคัญที่สุดของคนเป็นพ่อแม่ เพราะถือเป็นงานสร้างโลก ผ่านการสร้างลูก ที่ต้องใช้ความละะเอียดอ่อน ละเมียดละไม และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากตัวเด็กมีความซับซ้อนมาก ดังนั้นวิธีการเลี้ยงลูกด้วยตัวเองจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด ในการเข้าใจถึงตัวตน และสิ่งที่ลูกต้องการ แต่จะมีสักกี่ครอบครัว ที่จะเลี้ยงลูกอย่างมีสติ และเข้าใจจริงๆ เพราะส่วนใหญ่จะเลี้ยงโดยคาดหวังให้ลูกเก่ง และทัดเทียมคนอื่น โดยไม่สนใจความรู้สึกของลูก
       
       เพื่อตอบโจทย์ปัญหาข้างต้น ทีมงาน Life and Family ได้มีโอกาสฟังสนทนาธรรมจาก "พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี" ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย พระนักคิดนักเทศน์ ในงาน "Happy Kids Festival 2009" โดยท่าน ว.วชิรเมธีได้ให้ทัศนะว่า พ่อแม่ส่วนใหญ่ มีความคาดหวังกับลูกสูงมาก จนบางครั้งเกิดเป็นความ "พลาดหวัง" เพราะถูกกดดันมากเกินไป ซึ่งบางครั้งไม่เพียงแต่อยากให้ลูกได้รับการศึกษาเท่านั้น แต่อยากให้ลูกเทียมหน้าเทียมตาคนอื่นด้วย เพราะหันไปทางนี้ก็เพื่อนพ่อ ทางนั้นก็เพื่อนแม่ ส่งผลให้ลูกต้องถูกใส่ความรู้เต็มไปหมด แต่ขาดทักษะความเป็นมนุษย์ในการใช้ชีวิต
       
       "การให้ลูกเรียนเยอะ ไม่ว่าจะว่ายน้ำ เปียโน ภาษาอังกฤษ กลับมาที่บ้านแล้วยังมีครูสอนศิลปะเสริมอีก ตัวอย่างการจัดการเรียนให้ลูกตรงนี้ เด็กจะเก่งทุกอย่าง แต่เก่งไม่จริงสักอย่าง ขณะเดียวกันจะมีอารมณ์แปรปรวนสูงมาก เช่น ถ้าทำการบ้านเสร็จไม่ทัน ตอนเช้าขึ้นรถกับแม่ไม่ทัน หรือหิวจัด เด็กก็จะกรี๊ด นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่พ่อแม่ไทยตามแก้อยู่ในเวลานี้
       
       ที่เป็นเช่นนี้ เพราะศักยภาพของเด็กแต่ละคนไม่สามารถจะรับทุกเรื่องได้หมด ทางพระพุทธศาสนาได้บอกไว้ว่า จิตจะทำงานทีละเรื่อง ดังนั้นเมื่อถูกจัดให้เด็กคนหนึ่ง เรียนรู้เท่ากับเด็ก 5 คน แน่นอนว่า เด็กย่อมไม่มีความสุข กลายเป็นพ่อแม่รังแกฉันในที่สุด
       
       ดังนั้น พ่อแม่ควรเลิกให้ลูกเรียนพิเศษ และหันมาเรียนในระบบปกติ รวมทั้งเลิกยัดเยียดความคิดว่าลูกจะต้องทำอันนั้น อันนี้ ขอให้กลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ เน้นความสุขของเด็กเป็นศูนย์กลาง"
       
       ในด้านความคาดหวังของพ่อแม่นั้น ท่านว.วชิรเมธี ให้หลักคิดว่า คนเรามีความหวังให้สูงได้ แต่จะต้องเรียนรู้ และพร้อมยอมรับที่จะอยู่กับความผิดหวังให้ได้ด้วย ดังนั้น ความหวังของพ่อแม่ สามารถจัดสภาพแวดล้อมให้ลูกเดินตามทางที่หวังได้ แต่ถ้าลูกไม่สมหวัง พ่อแม่ต้องรู้ว่า โลกนี้อยู่ 2 ด้าน คือ ชื่นชม และขมขื่น ซึ่งการเลี้ยงลูกของมารดา คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง ถ้าลูกทำได้ก็ควรชื่นชม แต่ถ้าไม่เป็นดั่งหวัง ก็จะต้องยอมรับ และไม่ทุ่มความผิดหวังไปที่ลูก แล้วบอกลูกเป็นคนที่ใช้ไม่ได้
       
       "ทุกคนบนโลกนี้ ไม่มีใครที่ใช้ไม่ได้ แต่ทุกคนใช้ได้หมด แต่พ่อแม่ต้องมีดวงตาพิเศษ ที่สามารถมองเห็นแววของลูก เพราะแววคนขึ้นอยู่กับแววตา คงไม่มีลูกคนไหนหรอก ที่จะเกิดมาไร้ประโยชน์ ซึ่งตรงนี้สำคัญมาก พ่อแม่ต้องดูให้ดีว่า ลูกจะเรืองรองอะไรออกมา ฉะนั้นก่อนที่จะคาดหวังลูก พ่อแม่ต้องดูตัวลูกให้ดีก่อนว่า แววของเขา ส่อแสดงถึงแนวโน้มอะไรในอนาคต ถ้าพ่อแม่ส่งเสริมถูกทางก็จะสมหวัง แต่ถ้าส่งเสริมผิดทาง โอกาสที่จะผิดหวังย่อมเกิดได้สูง" ท่านว.วชิรเมธีให้หลักคิด

 
 
 
 
       คิดบวก-พูดบวก ลูกไม่เสีย Self
       
       นอกจากความคาดหวังแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การใช้คำพูดกับการสอนลูก กับเรื่องนี้ 'ท่านว.วชิรเมธี' ให้มุมมองว่า เรื่องทัศนคติเชิงบวก กับการใช้คำพูดทางบวก มีผลต่อลูกมาก ถ้าพ่อแม่ยิ่งตอกย้ำทัศนคติ และคำพูดด้านลบทุกวันๆ เด็กจะทำอะไรไม่เป็นเลย
       
       เปรียบได้กับผู้บริหารที่ตำหนิลูกน้องทุกวัน ย่อมส่งผลให้ประสิทธิภาพของงานลดลงตามไปด้วย แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีใหม่ ลองใช้คำพูดให้กำลังใจเมื่อทำผิดพลาด ประสิทธิภาพของงานก็จะดีขึ้นตามลำดับ เนื่องจากคำพูดที่ดี จะช่วยเสริมให้เกิดกำลังใจ นำไปสู่ความเชื่อมั่นในที่สุด
       
       3 ตัวแปร เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กดี-มีสุข
       
       การเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กดี และมีความสุข เป็นเรื่องไม่ง่าย และก็ไม่ยาก ในประเด็นนี้ "ท่านว.วชิรเมธี" ได้ฝากหลักคิดเลี้ยงลูกให้ดี ไว้อย่างน่าสนใจว่า ตัวแปรในการเลี้ยงลูกหลักๆ แล้ว มีอยู่ด้วยกัน 3 อย่างคือ พ่อแม่ต้องมีความรู้ ความรัก และเวลา เมื่อ 3 สิ่งนี้มีให้เด็กอย่างสมดุล เด็กก็จะมีความสุข และเป็นเด็กที่น่ารักของพ่อแม่ และสังคมต่อไป เริ่มจาก
       
       1. ความรู้ พ่อแม่ต้องมีความรู้ในการเลี้ยงลูก อย่าใช้สัญชาตญาณในการเลี้ยงลูก เพราะเด็กเป็นสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดในโลก ทั้งความคิด และจิตวิญญาณ โดยเฉพาะพ่อแม่ใบเลี้ยงเดี่ยวทุกคน ที่มักจะไม่มีเวลากับลูก จึงตอบสนองความต้องการของลูกด้วยการตามใจ เช่น ลูกอยากได้คอมพิวเตอร์ไว้เล่นที่บ้าน หรืออยากได้บัตรเครดิต ก็ทำให้ โดยคิดว่า นี่คือการชดเชยในสิ่งที่ลูกขาดหายไป วิธีคิดแบบนี้ จะทำให้ลูกเสียคน
       
       2. ความรัก เมื่อพ่อแม่ให้ความรักกับลูก จะช่วยให้ลูกรักบ้าน เพราะคิดว่าได้รับการเติมเต็มที่พอแล้ว การออกไปเที่ยวเพื่อตามหาความรักนอกบ้านก็จะไม่มี
       
       3. เวลา พ่อแม่บางคนให้ความรักแล้วแต่ไม่ให้เวลา ไม่มีการโอบกอด หรือกินข้าวด้วยกัน มีแต่ส่งข้อความ หรือโทรหาเมื่อคิดถึง
       
       ท้ายนี้ "ท่านว.วชิรเมธี" ได้ฝากแง่คิดไว้เป็นแนวทางให้กับพ่อแม่ยุคใหม่ทุกคนว่า "งานเลี้ยงลูกของบิดามารดาเปรียบเสมือนงานปั้นพระของศิลปิน ต้องทุ่มเททั้งชีวิต ผลสัมฤทธิ์จึงจะออกมาดั่งที่ปรารถนา หมายความว่า เป็นงานที่ต้องเลี้ยงกันด้วยความละเมียดละไม ใส่ใจทุกรายละเอียด ซึ่งศิลปินที่จะประสบความสำเร็จในการปั้นพระ เขาก็ต้องเรียนรู้ก่อน จากนั้นต้องมีจิตใจที่งดงามล้ำเลิศ พระที่ปั้นจึงจะงดงามจริงๆ ที่สำคัญ ต้องให้เวลากับงานปั้นจริงๆ
       
       เช่นกันกับพ่อแม่ การจะทำงานปั้นพระ (ลูกของเรา) ให้เป็นคนประเสริฐของโลก ก็ต้องมีความรู้ ใส่ใจ และละเมียดละไมมากพอ ซึ่งถ้าไม่มีในเรื่องดังกล่าวนี้ ลูกซึ่งเติบโตขึ้นจะกลายเป็นอนุเสาวรีย์ของพ่อแม่ที่ไม่สวยงาม และย้อนกลับมาประจานตัวเราตลอดไป"

 

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
ดร.อุษณีย์ไขเทคนิคเลี้ยงลูก ให้ช่างคิดอย่าง 'สร้างสรรค์'

หากพูดถึง "ความคิดสร้างสรรค์" เชื่อว่าทักษะนี้ มีอยู่ในเด็กแทบทุกคน ถ้าถูกเลี้ยงให้ช่างคิด และไม่ถูกล็อกทางความคิดมาตั้งแต่ต้น ที่พูดเช่นนี้ ทีมงานกำลังจะสื่อให้เห็นว่า การที่ลูกมีทักษะความคิดสร้างสรรค์ และคิดอย่างมีวิจารณญาณที่ดีนั้น ตัวแปรสำคัญอยู่ที่พ่อแม่ ว่าใช้หลักการเลี้ยงดูอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ
       
       สอดรับกับเมื่อหลายปีก่อน ได้มีการสำรวจทักษะความคิดสร้างสรรค์ของเด็กโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พบว่า เด็กส่วนใหญ่ ร้อยละ 80 มีทักษะความคิดสร้างสรรค์อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ จนน่าเป็นห่วงมาก
       
       วันนี้ เพื่อให้ทุกครอบครัวเข้าใจหลักการเลี้ยงลูกให้คิดสร้างสรรค์อย่างได้ผล ทีมงาน Life and Family มีตัวช่วยจาก "ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธวงศ์" ประธานศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพเด็ก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (มศว) มาช่วยปลดล็อกวิธีเลี้ยงลูกแบบผิดๆ ให้เลี้ยงลูกแบบถูกทาง เพื่อนำไปปรับประยุกต์ เสริมทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ของลูกให้ได้ผลยิ่งขึ้น
       
       กับเรื่องนี้ "ผศ.ดร.อุษณีย์" ให้มุมมองว่า ปัจจุบัน ความคิดสร้างสรรค์ได้กลายเป็นภาวะวิกฤตของสังคมไทยไปแล้ว เพราะเด็กส่วนใหญ่ชอบเลียนแบบมากกว่าที่จะคิดนอกกรอบ สิ่งเหล่านี้ เชื่อว่า เกิดจากความเคยชินในวิถีปฏิบัติที่พ่อแม่แต่ละยุคสมัยทำต่อๆ กันมา ซึ่งเป็นตัวครอบความคิดทั้งของตัวพ่อแม่ และตัวเด็กเอง เห็นได้จาก เมื่อลูกสงสัย หรืออยากทำในสิ่งนอกเหนือวิถีที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติ พ่อแม่บางคนมักพูดกับลูกว่า "นี่ อย่ามานอกคอกนะ" หรือ "ทำให้มันเหมือนๆ คนอื่นไม่เป็นบ้างหรือไง" เป็นต้น
       
       ดังนั้นเมื่อลูกสงสัย และอยากทำอะไร พ่อแม่ต้องลองเรียนรู้ร่วมกันกับลูกด้วย ซึ่งจะได้คำตอบ หรือไม่ได้ ค่อยมาคุย และหาทางออกกันใหม่ แต่ทั้งนี้ไม่ควรตัดโอกาสลูกด้วยคำพูดที่ทำให้ขาดความเชื่อมั่น จนไม่กล้าที่จะคิดอย่างสร้างสรรค์ นั่นจะทำให้เด็กไม่ฉลาด และไม่กล้าแสดงออกในที่สุด
       
       "การเปิดโอกาสให้ลูกเรียนรู้ ได้คิด ได้ลองทำ โดยไม่ถูกตีกรอบด้วยคำพูดที่บอกว่า อย่าทำนะ ห้ามนั่น ห้ามโน่น จะช่วยให้ลูกเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งการที่พ่อแม่ส่งเสริมให้ลูกได้ทดลอง ฉีกกรอบ หรือคิดอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น และร่วมเรียนรู้ หาคำตอบกับลูก ลูกก็จะคิดเป็น และสนุกที่จะเปิดสมองหาความรู้สู่การคิดที่สร้างสรรค์อย่างเต็มที่ต่อไป" ผศ.ดร.อุษณีย์ กล่าว

 เห็นได้จากครอบครัวของนักวิทยาศาสตร์ของไทยท่านหนึ่งที่ "ผศ.ดร.อุษณีย์" ยกตัวอย่างการสอนลูกให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่ง ลูกเกิดไม่สบายขึ้นมา และอยากกินหอยแครงลวก คุณแม่จึงพาไปตลาด เพื่อไปซื้อหอยแครง จากนั้นคุณแม่ก็นำหอยไปแช่นำ และเอาเกลือมาโรย ในขณะที่ลูกก็เกิดความสงสัยจึงอธิบายให้ลูกฟังว่า เกลือจะทำให้หอยคายโคลนออกมา ลูกถามกลับว่า แล้วใช้อย่างอื่นไม่ได้หรือ ซึ่งตัวคุณแม่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะช่วยลูกหาคำตอบ
       
       จึงเกิดการทดลองกันขึ้น โดยแม่พาลูกกลับไปตลาดอีกครั้ง เพื่อคัดซื้อหอยขนาดเดียวกันมาทดลอง เอาหอยแม่มาใส่โหลที่มีน้ำ จากนั้นลองนำน้ำตาล น้ำปลา เกลือ น้ำส้มสายชู ใบมะระขี้นกที่ปลูกในบริเวณบ้าน มาตำ แล้วใส่ในโหล ปรากฎว่า โหลที่ใส่ใบมะระขี้นกคายโคลนออกมามากที่สุด ซึ่งการทดลองกับแม่ ได้กลายเป็นโครงงานของลูก และได้รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่เพียงชั้นป.1 เท่านั้น
       
       นี่คือตัวอย่างการสอนลูกอย่างสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของการเลี้ยงลูก จะมีหลักอยู่ด้วยกัน 3 อย่างที่เกี่ยวเนื่องกับความคิดสร้างสรรค์ และความเชื่อมั่นของลูก คือ การชมเชย การลงโทษ และการเพิกเฉย ซึ่งต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม เช่น ชมเชยลูกได้ แต่อย่าชมอย่างฟุ่มเฟือยจนลูกเหลิง หรือขาดความมั่นใจไปเลย เพราะพ่อแม่บางคน ยังไม่ทันได้เห็นผลงานลูกเลย ก็ชมออกหน้าออกตา ทำให้ลูกไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ทำ ดีจริงหรือไม่ เนื่องจากเด็กบางคนรู้สึกได้ว่า สิ่งที่เขาทำยังทำได้ไม่ดีพอ แต่พ่อแม่กลับชมว่าดี

 
   
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
 
 
       ในขณะที่บางบ้าน เอาแต่เคร่งครัดเรื่องวินัย กดดัน และลงโทษลูก แม้จะเป็นความผิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม อาจทำให้ลูกไม่กล้าคิด หรือแสดงความคิดเห็นอะไร เพราะกลัวว่าจะถูกดุ หรือถูกลงโทษ อีกทั้งยังรวมไปถึงบ้านที่วางเฉย ไม่สนใจลูก
       
       วิธีเหล่านี้ พ่อแม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ ก่อนที่ลูกจะโตเป็นอนาคตของชาติที่ไม่มั่นใจในตัวเอง จนนำไปสู่การคิด และสร้างสรรค์ได้อย่างไม่เต็มที่ กลายเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าเข้าสังคม และคิดไม่เป็นในที่สุด แต่ถ้าพ่อแม่สามารถปลดล็อกได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก จะช่วยต่อยอดทางความคิดให้กับเด็กได้ดีทีเดียว
       
       "ความคิดสร้างสรรค์มาจากการที่จะต้องแก้ปัญหา ถ้าไม่สอนให้ลูกมองเห็นปัญหา เด็กก็จะไม่มีวิธีคิดที่จะหาวิธีแก้ อย่างไรก็ดี ความคิดสร้างสรรค์ของลูกจะลดลงเมื่อต้องเข้าสู่รั้วโรงเรียน เพราะต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบหลายชั้น ดังนั้นทางเดียวที่จะทำให้ความสร้างสรรค์ของลูกคงที่ พ่อแม่ต้องช่วยลูก เวลาอยู่ที่บ้าน ควรใช้วิธีการสอนที่แปลกใหม่ ไม่สอนในแบบที่เคยทำกันมา
       
       เช่น ให้ลูกเข้าครัวทำอาหารด้วยกัน โดยไม่ทำแบบที่เคยทำได้ไหม แต่ดัดแปลงให้เป็นอาหารจานใหม่ที่มาจากเมนูเดิมได้ไหม หรือเวลาจะเล่านิทานให้ลูกฟัง พอเล่าจบแล้ว ลองให้ลูกแต่งเรื่องใหม่ได้ไหม วิธีนี้จะช่วยได้เยอะ" ผศ.ดร.อุษณีย์แนะเคล็ด
       
       นอกจากนี้ การที่จะให้มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดีนั้น ตัวพ่อแม่เองจะต้องมีคลังคำศัพท์ที่มากพอสมควร ทั้งนี้เพื่อจะได้สอน และเพิ่มให้ลูกได้ใช้ในการผสมคำได้มากขึ้น วิธีการสอนง่ายๆ คือ ฝึกให้ลูกต่อคำจาก 1 คำให้ได้มากที่สุด เช่น นึกถึงคำว่าน้ำ เอามาประกอบเป็นคำอื่นๆ อะไรได้บ้าง ฝึกกับลูกบ่อยๆ และปล่อยให้ลูกคิดอย่างอิสระ และเป็นไปตามจินตนาการ วิธีนี้จะช่วยให้ลูกคิดนอกกรอบได้ไม่น้อย
       
       จะเห็นได้ว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องสำคัญ ที่จะต่อยอด และพัฒนาความคิดของลูกได้ดี ซึ่งต้องเริ่มจากพ่อแม่ ที่มีส่วนช่วยกันสร้างความมั่นใจ ด้วยการพูดให้เกิดกำลังใจ และเลิกใช้คำพูดในเชิงคำสั่ง ขณะเดียวกันเมื่อลูกสงสัย ไม่ควรปล่อยค้างไว้ แต่ต้องร่วมกันหาคำตอบกับลูก สิ่งเบื้องต้นเหล่านี้ ถ้าพ่อแม่ปลดล็อกวิธีเดิมๆ ที่มักจะบอกลูกว่า "ใครๆ เขาก็ทำกันแบบนี้ จะสงสัยอะไร" หรือ "เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด" ลูกก็จะไม่ถูกตีกรอบ และใช้ความคิดได้อย่างอิสระ กลายเป็นเด็กที่คิดสร้างสรรค์ และคิดเป็นต่อไป
 

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****

*** เตือนสติ : พระว.วชิรเมธี เรื่องบูชาชูชก

พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์ชื่อดัง
ได้กล่าวถึงกระแสความเชื่อบูชาชูชกว่า  ในมงคลสูตรมีพระพุทธพจน์อยู่บทหนึ่ง  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า  "ควรบูชาคนที่ควรบูชา"

ในเรื่องพระเวสสันดรชาดก   ชูชก เป็นตัวอย่างในทางเลวของคนโลภ สุดท้ายต้องตายเพราะกินอาหารไม่รู้จักพอ
ส่วนพระเวสสันดรเป็นตัวแบบของคนดี ถ้าบูชาชูชกก็เท่ากับว่าบูชาความโลภ
คนที่ควรได้รับการบูชาคือพระเวสสันดร เพราะเป็นต้นแบบของคนที่เป็นผู้ให้

เวลานี้พากันบูชาชูชกแสดงว่าเป็นพวกอ่านหนังสือไม่แตก  
ฟังพระเทศน์ไม่จบ ไม่รู้อะไรเป็นอะไร  ไม่ควรเอาคนเลวมายกย่องเชิดชู
ส่วนที่มีคนให้มองชูชกถึงความมัธยัสถ์ขยันทำมาหากินก็ไม่ถูกต้อง เป็นการพูดของพวกไม่รู้จริง ที่ต้องการตบทรัพย์คนไทยเท่านั้น

« Last Edit: 28 ก.ย. , 2010, 01:29:31 am by fengshui »

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****

ร้านอาหารชื่อดังบางแห่ง หลังจากบูชาชูชกได้ไม่นานก็ปิดตัวลง
( มีสาเหตุอื่น ๆ ประกอบด้วย )

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
( ว.วชิรเมธี )

รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี

ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า

ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง
ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)
คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน

ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝันฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ
ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง
แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า

ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง

คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง
ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป ็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่าง ไร้ค่า

บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมา ได้เลย

ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม

อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง
ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิด นี้เลย
มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า ''การกลับมาอยู่กับตัวเอง''
กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก
แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน''
แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น
เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห
ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด
สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือ เป็นปฏิปักษ์ก็คือ
การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ
หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด
อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์

ปราชญ์จีนบอกว่า
''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขาแต่จงย้ายตัวเอง ''

ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
เรื่อง “มหัศจรรย์แห่งชีวิต ๗ หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี”
บางส่วนจากหนังสือ“มหัศจรรย์ แห่งชีวิต ๗ หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี” เป็น การตอบคำถาม 20 ข้อ ที่น่าสนใจมาก

 
๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ
 
๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง
 
๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข
 
๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน
 
๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมา ที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมี ความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความ บกพร่องของตัวเอง
 
๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้
 
๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ
 
๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่น ต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึง มีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
 
๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่
 
๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบ ของตัวเองก็พังตามไปด้วย
 
๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่ หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะ ไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า
 
๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน
 
๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?

1) จู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะ เวียน ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
2) ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอมีลูกค้า

๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง
   
๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเอ??ว่า เราเกิดมาจากใคร

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้ คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของ เรานั่นเอง

๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัสเนื่อง เพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด
 
๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน
 
๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสม โรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน
 
๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์

ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

fengshui

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
*** ข้อคิด : จากท่าน ว.วชิรเมธี
« Reply #9 on: 12 ก.ย. , 2010, 01:23:40 am »
นักปราชญ์ชาวเอเชียวัยกลางคนหนึ่งเล่าว่า

มีชายหนุ่มอยู่คนหนึ่ง แกเป็นคนอัตคัตความสุข พยายามแสวงหาความสุขจากวิธีการต่างๆ
แต่แล้วก็ยังรู้สึกว่า ไม่ใช่ความสุขแท้ที่ตัวเองต้องการ

อยู่มาวันหนึ่ง มีผู้แนะนำว่า ถ้าอยากมีความสุขก็ควรจะมีบ้านเป็นของตัวเอง
เพราะในบ้านของเรานั้น เราสามารถเป็นเจ้าของทุกอย่างในบ้าน
โดยที่ไม่ต้องมีใครมาคอยกวนใจ ซ้ำยังมีอิสระที่จะเสกสรรค์ปั้นแต่ง
หรือจัดบ้านให้เป็นไปตามความต้องการของตนเองอย่างไรก็ได้

เขาเชื่อตามที่มีผู้แนะนำ จึงตัดสินใจสร้างบ้านขึ้นมาหลังหนึ่ง

เมื่อแรกสร้างบ้านนั้น บ้านของเขาหลังใหญ่ทีเดียว
พอมีบ้านแล้ว เขามีความสุขมาก เขาเริ่มจัดบ้านตามต้องการ
และเริ่มหาข้าวของต่างๆ มากมาย มากองไว้ในบ้านทีละอย่างสองอย่าง
จนกระทั่งวันหนึ่ง ห้องว่างๆ ในบ้านของเขาก็หายไป
ทุกพื้นที่ในบ้านเต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะ มองไปทางไหนก็รกหูรกตา

ทีนี้ชายหนุ่ม เริ่มรู้สึกว่าบ้านของตนเอง ช่างเป็นสถานที่ที่ไม่น่าอยู่ อากาศก็อุดอู้

เขาเริ่มบ่นกับตัวเองว่า คิดผิดถนัดที่สร้างบ้านขึ้นมา
เพราะนึกว่าบ้านจะให้ความสุขได้นานๆ บางวันเขาก็ครุ่นคำนึงว่า
น่าจะสร้างบ้านให้หลังใหญ่กว่านี้ จะได้บรรจุอะไรต่อมิอะไรได้เยอะๆ ตามต้องการ

ขณะที่เขาเริ่มไม่มีความสุข เพราะบ้านกลายเป็นโกดังเก็บของนั้นเอง
ก็มีนักปราชญ์คนหนึ่งผ่านมาแถวนั้น เขาบ่นดังๆ
จนปราชญ์คนนั้นได้ยิน นักปราชญ์หนุ่มจึงแนะนำว่า
ถ้าเขาอยากให้บ้านเป็นสถานที่แห่งความสุข ก็ไม่เห็นจะยากอะไร
เพียงแต่ขนข้าวของทั้งหมดออกมาวางข้างนอกบ้านเสียก็หมดเรื่อง

ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้น รีบทำตามทันที

เขาเริ่มขนข้าวของซึ่งโดยมากล้วนเป็นสิ่งซึ่งไม่จำเป็น
หากแต่เขาเก็บเอาไว้ เพราะความละโมภมากกว่าออกมาทิ้งนอกบ้าน ขนอยู่สองวัน จนบ้านว่าง โล่ง
และดูกว้างขึ้นมาผิดหูผิดตา คราวนี้เขามีความสุขมาก
รำพึงกับตัวเองว่า แหม บ้านของฉันช่างกว้างขวาง และน่าอยู่เสียนี่กระไร

นักปราชญ์ได้ยินแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม ก่อนจะเปรยขึ้นมาว่า
บ้านของเจ้าน่ะ มันกว้างขวาง ว่าง โล่ง และน่าอยู่มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
เจ้าของต่างหากล่ะที่ทำให้มันไม่น่าอยู่ ด้วยการบรรจุอะไรๆ
ที่เกินจำเป็นใส่เข้าไป จนบ้านกลายสภาพเป็นกองขยะดีๆ นี่เอง

ใช่หรือไม่ว่า คนส่วนใหญ่ที่กำลังกวาดตา มองหาความสุขและพยายามที่จะเติมสิ่งนั้นสิ่งนี้เข้าไปในชีวิต
แต่แล้วก็ยังคงรู้สึก "พร่อง" หรือหมักหมมไปด้วยความทุกข์อยู่เหมือนเดิม
ไม่แตกต่างอะไรกับชายเจ้าของบ้านในนิทานปรัชญาเรื่องนี้
การจัดการชีวิตให้มีความสุขนั้น ทางที่ถูก อาจไม่ใช่การใส่อะไรลงไปในชีวิต
แต่แท้ที่จริงแล้ว คือการถ่ายเท ปล่อยวางหรือระบายบางสิ่งบางอย่างออกจากชีวิตมากกว่า

ในพุทธศาสนานั้น เราถือกันว่า ความสุขอาจเกิดจากความมี
(สามิสสุข) ก็ได้ แต่ที่เหนือกว่านั้น ความสุขอาจเกิดจากความเป็นอิสระ
จากความมีก็ได้ด้วย (นิรามิสสุข)

บ้านแห่งชีวิตของเรา เมื่อแรกสร้างก็ดูโปร่ง โล่ง
เป็นระเบียบเรียบร้อย สบายหูสบายตา แต่เมื่ออยู่กันไป
อะไรๆ ก็ชักจะเพิ่มขึ้น
และบางทีเพิ่มมากมาย จนกลายเป็นปัญหาอันบั่นทอนต่อความสุขในชีวิตคู่

จะดีกว่าไหม หากมีเวลาว่าง คนรักกัน น่าจะลองหาวิธีทำพื้นที่หัวใจให้ว่าง
ด้วยการถอดถอนบางอย่างทิ้งออกไป
ขอเพียงเรียนรู้ที่จะลดบางอย่างลงไป ความสุขในหัวใจก็คงจะเพิ่มขึ้น

ความสุข บางครั้งอาจไม่ได้ผูกพันอยู่กับความมี
แต่บางที... อาจมาจากความว่าง