ฮวงจุ้ย ดวงจีน ฤกษ์แต่งงาน
ฮวงจุ้ย Fengshuitown ซินแส อ.เกรียงไกร

ไล่ตงจิ้น
ลูกขอทาน ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อ ชะตาชีวิต

เผยแพร่ ฮวงจุ้ย เป็นวิทยาทาน ตั้งแต่ 2531
อ.เกรียงไกร บุญธกานนท์

. . . .

. Home : ข่าวสารฮวงจุ้ย

. Fengshui Tips
. Tools : อุปกรณ์ฮวงจุ้ย
. หนังสือฮวงจุ้ย หนังสือ ตำรา ฮวงจุ้ย
. Fengshui Software
. Fengshui Online Software
. WebBoard / Member Only
. FengshuiTown บริการ
. ติดต่อ Fengshuitown


 






ไล่ตงจิ้น
ลูกขอทาน ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อ ชะตาชีวิต

ไล่ตงจิ้น

อัตชีวประวัติของอดีตขอทาน ที่ทุกคนเคยเย้ยหยัน มีพ่อตาบอด
แม่กับน้องชายคนโตปัญญาอ่อน ทั้งหมด 14 ชีวิต ที่เขาต้องเลี้ยงดู
เขาต่อสู้กับชีวิตจนได้เป็น “บุคคลดีเด่นของไต้หวัน”
เพราะใจที่ไม่ยอมแพ้เพียงคำเดียว

หนังสือขายดีที่สุดของไต้หวัน ยอดขายมากกว่า 1,000,000 เล่ม ได้รับการยกย่องและแนะนำให้อ่านโดยประธานาธิบดีเฉินสุ่ยเปี้ยนของไต้หวัน
นี่คือตัวอย่างของคนที่ “ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต” ที่ทุกคนควรศึกษา

“ในปีที่ผมอายุได้ 7 ขวบ วันนั้นพายุโหมพัดแรงตั้งแต่เช้าตรู่จนเย็นย่ำ ...
เมื่อไม่มีอะไรตกถึงท้องนานติดกันสองมื้อ แม่กับน้องๆทนหิวไม่ไหวร้องไห้อาละวาด
ผมลุกพรวดขึ้น ฝ่าลมฝนออกไปขอทาน ผู้คนต่างพากันปิด
หน้าต่างประตูบ้านช่องแน่นหนา ผมได้แต่เดินฝืนไปเคาะ ประตูบ้านแล้วบ้านเล่า ...”

ไล่ตงจิ้นเร่ออกขอทานท่ามกลางพายุฝน ผ่านคืนวันอันหนาวเหน็บ
เพียงเพื่อให้ 14 ชีวิตอยู่รอดต่อไป หลายครั้งที่ไม่ได้อะไรเลย
เขาถึงกับต้องแย่งข้าวหมากิน ดื่มน้ำในท้องร่อง ...

“เพราะการไปเรียนหนังสือกินเวลาของผมไปเกือบทั้งวัน
พอถึงเวลาออกไปขอทานตอนกลางคืน จึงต้องแข็งขันกว่าเดิมอีกหลายเท่า ...
พ่อนั่งดีดพิณ ร้องเพลงไป ผมนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ
พร้อมกับทำการบ้านโดยอาศัยแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟข้างถนน”
ระยะเวลา 6 ปีที่เรียนอยู่ชั้นประถม
เขาได้รับใบประกาศเกียรติคุณทั้งหมด 80 ใบ ทุกรายการเขาได้ที่ 1 รางวัลเป็นพลังอย่างเดียวที่ผลักดันให้เด็กที่มี “ชีวิตสวะ”

คนหนึ่งมีกำลังใจที่จะต่อสู่กับชีวิตอย่างกล้าหาญต่อไป
ใบประกาศเกียรติคุณแผ่นบางๆ เทียบไม่ได้กับอาหารที่เขาขอทานมาได้สักมื้อ
เกียรติยศเทียบอะไรไม่ได้กับการหาที่ซุกหัวนอน
ที่พอจะใช้กันแดดบังฝน ให้คนทั้งครอบครัว
แต่แล้วเรื่องร้ายๆ ที่คอยจ้องจะทำลายให้เขาล้มลง กลับทำให้เขาเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม

หากคุณถามผมถึงรสชาติของการเป็นขอทาน ผมบอกได้เพียงว่า
มันคือน้ำตาที่ขมปร่าที่สุดในชีวิตมนุษย์
หากคุณถามผมถึงรสชาติของความสุข ผมก็จะบอกว่า
มันคือการไม่ต้องทนหิว ไม่ต้องทนหนาว

คนในครอบครัวได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้า อย่างร่มเย็นเป็นสุข

40 ปี ที่ผ่านมา แม้พ่อกับแม่ไม่สามารถจะรัก ดูแลเอาใจใส่ผมเฉกเช่นพ่อแม่คนอื่น
แต่ผมก็ไม่ขมขื่นหรือเสียใจเลย ยิ่งกว่านั้นกลับเห็นว่า ความสำเร็จที่ผมได้รับในวันนี้
เพราะผมได้มีโอกาสสู้ชีวิตและโชคชะตาที่เลวร้าย
และเพราะผมมีพ่อกับแม่ที่พิการทั้งสองท่านนั่นเอง

มันเป็นชีวิตที่ทุกข์ยากแสนสาหัสอย่างแท้จริง แต่มันไม่ทำให้ผมยอมแพ้ ผมบอกตัวเองเสมอว่าจะทำให้ฟ้าดินประจักษ์ไม่ว่าจะต้องพบกับความทุกข์เข็ญปานใด
หรือต้องเผชิญกับชะตาอันเลวร้ายอีกสักเพียงไหน
ผมต้องหาทางออกให้แก่ชีวิตของตนเองและหยัดยืนขึ้นสำเร็จให้จงได้!

1.ที่อยู่
ก่อนผมสิบขวบ ครอบครัวเราไม่มีบ้านช่องเป็นหลักแหล่ง หรือแทบจะเรียกได้ว่า
เราต้องนอนกลางดินกินกลางทรายกันจริงๆ
ผมผ่านวัยเด็กท่ามกลางลมหนาว น้ำค้าง แสงแดด พายุโหมกระหน่ำ มีต้นไม้เป็นหลังคา
ผืนดินเป็นเตียงนอน และมีสุสานเป็นบ้านของเรา

พวกเราเคยอาศัยพักพิงมาแล้วแทบทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นใต้ต้นไม้ ใต้สะพาน ตลาดสด
ใต้เวทีโรงงิ้ว ทุ่งนา ป่าร้าง ตามแต่สภาพอากาศที่ผันแปรไปตามฤดูกาล พูดได้ว่าไม่มีที่ไหนเลยที่เราอยู่กันไม่ได้ ถ้าไปตามเมืองเล็กๆ
เราก็อาศัยกันตามโรงเรียนบ้าง ศาลาตามสวนสาธารณะบ้าง สถานีรถไฟบ้าง

หรือ ถ้าเป็นหมู่บ้านชนบท เราอาจพักกันตามสวนกล้วย ไร่อ้อย โรงเพาะเห็ด หลุมหลบภัย หรือแม้แต่ในเล้าหมูก็ยังเคย แต่ที่ที่เราอาศัยกันบ่อยที่สุดคงจะเป็นศาลเจ้าในสุสาน เพราะการนอนอยู่กับคนตายนั้น ไม่ต้องถูกมองด้วยสายตาดูแคลน
และที่สำคัญคือ คนตายไม่ไล่ตะเพิดพวกเราแน่

หลังจากเข้าเรียนแล้ว จึงมี “บ้าน” จริงๆ ของเราเป็นครั้งแรก
พ่อหาเล้าหมูร้างได้เล้าหนึ่งที่หมู่บ้านเฉียนจู๋ อำเภออูรื่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าของเดิมหนีหายไปไหนเสียแล้ว จึงได้ปล่อยเล้าหมูไว้ให้รกร้างเช่นนี้ พอรู้ว่าจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่เล้าหมู ผมก็ตื่นเต้นเริงร่าไปหลายวันทีเดียว

แม้เพื่อนบ้านด้านซ้ายของเราจะเป็นบรรดาหมูน้อยใหญ่ และเพื่อนบ้านด้านขวา
จะเป็นพ่อวัวกับแม่วัว ทั้งขี้หมูและขี้วัวต่างส่งกลิ่นเหม็นโชยออกมาตีกันอยู่ตลอดเวลา แล้วพวกมันก็ยังร้องเสียงดังมากๆ

แต่อย่างน้อยในที่สุดเราก็หนีออกมาจากสุสาน ในป่าช้าอันน่าสะพรึงกลัวมาได้เสียที
ถึงเวลากลับบ้านตอนกลางคืน ก็ไม่ต้องคอยหวาดระแวงจนขวัญหนีดีฝ่อ
เวลานอนผมก็ไม่ต้องคอยกลัวว่าจะถูกผีอำอีกต่อไป

ถ้าบอกว่า “เล้าหมู” เป็นบ้านของเรา ก็รู้สึกอับอายอยู่สักหน่อย
เพราะ “บ้าน” ที่มีพื้นที่เจ็ดตารางเมตรนี้ไม่มีประตูและห้องส้วม
ผนังก็เก่าลอกถลอกไม่น่าดู
พื้นก็ไม่ราบเรียบสม่ำเสมอ แถมยังต้องใช้ไม้ไผ่ลำใหญ่สองลำ
คอยช่วยค้ำเอาไว้ไม่ให้เอียงด้วย

บางครั้งพอมองไปที่ผนังดินนั้นแล้ว ก็อดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาไม่ได้ ต้องรีบยกมือขึ้นพนมวิงวอนต่อฟ้า เพราะกลัวว่า
ถ้ากลางคืนมันเกิดถล่มล้มลงมาจริงๆ แล้วละก็
เราคงต้องพากันตายยกบ้านแน่ กระดานไม้แผ่นหนึ่งกับหินที่รองอยู่ด้านล่าง ประกอบกันเท่านี้ก็เป็นเตียงนอนได้แล้ว สมาชิกทั้งสิบคนของครอบครัวเรา
นอนบนเตียงนี้ หัวชนเท้าเท้าชิดหัว
ทุกคนนอนเบียดยัดกันได้อย่างลงตัวพอดิบพอดี พอดีจนแทบจะขยับตัวไม่ได้เลย

บ้านเราไม่มีไฟฟ้า ค่ำลงก็จุดเทียนให้แสงสว่าง
แต่ที่จริงแม้ตอนกลางวันในห้องก็ยังดูอับทึบอยู่เสมอ
กระนั้นที่เพดานก็อุตส่าห์มีรูรั่วอยู่นับสิบรู
ฝนตกทีไรก็ต้องช่วยกันวิ่งหาถ้วยถังกะละมังมารองกันให้วุ่นวาย
น้ำฝนหยดติ๋งๆลงมาอยู่ไม่ขาดสาย

และเพราะบ้านเราไม่มีห้องส้วม
ดังนั้นเราจึงต้องหากระโถนพลาสติกมาใช้แทนส้วม ถ่ายทุกข์กันแต่ละทีก็เหม็นหึ่งไปทั่วห้อง
พอใช้จนเต็มกระโถนแล้ว ก็เป็นหน้าที่ผมเอาไปเททิ้งในแม่น้ำทุกวัน
พอตกดึกก็ยิ่งคึกคักกันไปใหญ่ ทั้งหนูและแมลงสาบออกมาปาร์ตี้กันสนุกสนาน
จี๊ดๆ จ๊าดๆ บางครั้งเหมือนมีประชุมด่วน เพราะฟังดูร้อนรนและพร้อมเพรียง
บางครั้งดูเหมือนพวกมันเล่มเกมกัน กรีดเสียงร้องกันเสียงสูงๆต่ำๆ
เดี๋ยวตัวนั้นร้องทีตัวนี้ร้องที

มีบางครั้งที่เราได้ยินดัง “ตุ๊บ!” จากนั้นตามด้วยเสียงครวญครางดัง
“จี๊ด—จาจาจา” นึกว่าอะไร ที่แท้เป็นเพราะพวกหนูเล่นกันสนุกไปหน่อย
ก็เลยหล่นลงมาจากหลังคา ผมกันน้องๆ นอนกันอยู่บนเตียง เห็นแล้วก็อดหัวเราะกันจนท้องคัดท้องแข็งไม่ได้

2. อาหาร
ใกล้เที่ยงแล้ว อาหารในขันใบเล็กของผมเพิ่งจะได้มาแค่สองส่วนเท่านั้นเอง
ไหนเลยจะพอกินกันทั้งบ้าน พอนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดของหมู่บ้านกำลังเก็บแผงกันพอดี ผมก็รีบจูงพ่อดิ่งไปขอทานที่แผงผลไม้ทันที พวกเด็กกลุ่มที่อยู่ไกลๆโน่นเห็นเราเข้า
ต่างพากันตะโกนล้อเลียนว่า “เร็วเข้า! รีบมาดูนี่เร็ว ขอทานมาแล้ว
ไอ้ตัวสกปรก ไอ้ตัวน่ารังเกียจ แหวะ ไอ้ขอทานตัวเหม็นมาขอข้าวเขากิน แหวะ ”

พ่อค้าเจ้าของแผงคงจะสมเพชพวกเรา จึงหยิบเอาผลไม้ที่ช้ำจนขายไม่ได้แล้ว ยื่นให้แก่พวกเราจำนวนหนึ่ง แม้ว่าผลไม้ที่พ่อค้าหยิบยื่นให้จะช้ำจนแทบจะเน่าแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันช่างหวานหอมเหลือเกิน

พอได้ผลไม้มา ผมก็นำมาคัดส่วนดีเก็บไว้ให้สำหรับพ่อกับแม่ก่อน
จากนั้นตัวเองค่อยกินส่วนทีเหลือ เมื่อหวนคิดถึงสมัยนั้นแล้ว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาชนะความอยากของตัวเอง
ยอมกินน้อยและกินแต่ส่วนที่แย่นี้ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าความรู้สึกกตัญญูกตเวทีเหล่านี้
ผมไปเรียนมาจากไหน ผมไม่รู้เลยจริงๆ

ในฤดูหนาว ร่างกายต้องการพลังงานมากกว่าปกติ
ความอดทนต่อความหิวก็พลอยลดน้อยลงไปด้วย
วันนี้ขณะที่พวกเรากำลังเดินผ่านสวนกล้วยสวนหนึ่ง
เนื่องจากไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยว บรรยากาศวังเวงมาก แล้วสายตาผมก็เหลือบไปเห็นเจ้าไก่ตัวหนึ่งนอนนิ่งอยู่กับพื้นดิน มันคงจะหนาวจนจะแข็งตายเสียแล้วกระมัง
ดูเหมือนมันจะแข็งแกร่งไปหมดทั้งตัวเลย ผมเห็นแล้วก็อดเวทนามันไม่ได้
จึงเล่าสิ่งที่เห็นให้พ่อฟัง

ไม่นึกเลยว่าพอพ่อได้ฟังก็กระตือรือร้นมากจนถึงกับหยุดเดิน
แถมยังสั่งให้ผมไปเก็บไก่ตัวนั้นขึ้นมาอีก
“แต่ไก่ตายนานแล้วนะพ่อ สีมันก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว”
ผมมองไปที่ไก่ท้องเน่าตัวนั้น พลางพูดขึ้นอย่างลำบากใจ
“ช่างมันน่า ไปเก็บมันเถอะ ” พ่อสั่ง
“แต่ว่า ...” ผมชักจะได้กลิ่นเน่าของไก่ตัวนั้นขึ้นมาตะหงิดๆ
“บอกให้ไปเก็บก็ไปเก็บมาสิ หรือจะให้ข้าลงมือ ”
พ่อเอาไม้เท้าเคาะลงไปกับพื้นแรงๆ สองครั้ง

ผมรู้สึกได้ว่าพ่อใกล้จะหมดความอดทนแล้ว
ผมเลยเอามืออุดจมูกไว้ แล้วเดินเข้าไปในท้องนา
มองลงไปที่ซากไก่ก็เห็นตาของมันปิดสนิท ขนที่เคยสวยของมันถูกสายลมพัดพาเอาความเงางามไปจนหมดสิ้น
ขนปีกของมันหลุดลุ่ยกระจุยกระจาย ผมคิดว่าบางทีตอนก่อนตาย เจ้าไก่ตัวนี้คงพยายามกระพือปีกเพื่อจะยืนขึ้นให้ได้ แต่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็หมดไปพร้อมกับแรงฮึดสู้ของมัน
มันพ่นลมสุดท้ายออกมาอย่างแผ่วเบา คอพับลง แล้วก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

จากนั้นพวกหนอนและแมลงเล็กๆพากันไชเข้ามาอาศัยอยู่ใต้ขนอันอบอุ่น
แล้วก็กัดกินเนื้อของมัน ทำให้กระเพาะลำไส้มันทะลักออกมา สภาพน่าอนาถเหลือเกิน

ผมนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่งไม่รู้ว่าควรจะจับส่วนไหนของมันขึ้นมาดี ก็เลยใช้สองนิ้วคีบขาของมันขึ้นมาถือไว้ให้ห่างๆตัว แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ผมพยายามถือไก่ให้ห่างจากตัวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยความกลัวว่าหนอนจะไต่ขึ้นมาที่มือ ผมรู้ดีว่าอย่างไรพ่อคงจะต้องกินมันแน่ ตลอดทางที่ถือมา อดไม่ไหวเกือบจะอ้วก ผมเสียใจจริงๆที่บอกเรื่องไก่ตายกับพ่อ แต่เรื่องมาตั้งขนาดนี้แล้ว ใครก็คงห้ามพ่อไว้ไม่ได้ ยิ่งตอนนี้ที่กระเพาะพวกเราร้องโครกครากไม่เป็นเสียง

พ่อพาพวกเรามาถึงกระท่อมร้างแห่งหนึ่งที่พอจะกำบังลมได้
จากนั้นก็สั่งให้ผมกับพี่สาวช่วยกันหาหินมาวางเป็นเตาสามขา หาฟืนและกระดาษชิ้นเล็กๆมาทำเป็นเชื้อเพลิง พ่อคิดจะต้มไก่จริงๆด้วย
พอพวกเราหาอุปกรณ์ได้ครบถ้วน พ่อก็คลำเอามีดเล็กๆออกมาจากตัว แล้วจัดการไก่ตัวนั้นด้วยปลายนิ้วสัมผัส โดยเริ่มจากการตัดหัวมันออกก่อน

จากนั้นควักเอาเครื่องในออกมาจนหมด แล้วถอนขนออกจากตัวไก่ให้สะอาดหมดจด ความสามารถในการฆ่าเป็ด ไก่ และห่านของพ่อเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคน
ไม่ว่าจะรองเลือด จุดไฟต้มน้ำ ต้มไก่ ถอนขน ถอดเครื่องใน หรือแม้แต่การหั่นเป็นชิ้นๆ พ่อก็ทำได้คล่องแคล่วว่องไว ขนก็ถอนได้สะอาดเกลี้ยงเกลา เนื้อก็หั่นเป็นชิ้นเท่าๆกัน สมัยก่อนหากเพื่อนบ้านคนใดได้เห็นฝีมือการเชือดไก่ของพ่อแล้วละก็
เป็นต้องยกนิ้วให้ด้วยความนับถือ

บางคนยังแกล้งพูดแซวพ่อว่า “นี่เจ้างูซื่อ แกตาบอดจริงๆเหรอ แกแกล้งทำตาบอดมาหลอกพวกเราใช่ไหมล่ะ”
ผมกับพี่สาวไม่กล้าดมกลิ่นเหม็นเน่าของไก่ตัวนั้น จึงถอยออกมายืนดูอยู่ห่างๆ รอจนพ่อจัดการเรียบร้อยดีแล้ว
จากนั้นพ่อก็เรียกให้ผมนำส่วนที่ไม่เอาแล้วไปทิ้งในแม่น้ำให้หมด

ผมไม่เต็มใจเลยสักนิดเดียว ก็มันเหม็นออกอย่างนั้น
เหม็นขนาดที่ว่าต่อให้คุณล้างมือเป็นร้อยๆครั้ง กลิ่นนี้ก็ยังจะติดตัวคุณอยู่ตลอดนั่นแหละ ผมรีบวิ่งเอาไปทิ้งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยหวังว่าจะช่วยหดเวลาที่น่าขยะแขยงนี้ให้สั้นลงได้แม้เพียงสักนิดก็ยังดี

พอผมกลับมาถึง ตอนนี้เนื้อไก่ก็ถูกใส่ลงไปต้มในขันหมดแล้ว
ผมเห็นน้องๆนั่งล้อมวงกัน ต่างก็จ้องไปที่ไก่ตัวนั้นตาไม่กระพริบ
ผมเช็ดมือแรงๆซ้ำๆกับชุดที่สวมอยู่ ในสมองยังมีภาพเครื่องในไก่
ที่เน่าเปื่อยผุดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่ท้องกำลังร้องโหยหิวอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วจะกินดีไหมนี่
คำว่า “สมองต่อสู้กับหัวใจ”

คงจะเป็นคำที่บรรยายความรู้สึกผมได้ดีที่สุดในตอนนี้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหิวจนหน้ามืดตาลาย
จมูกก็พลอยเบลอไปด้วยหรือเปล่า ผมเริ่มได้กลิ่นน้ำแกงหอมฉุยออกมาจากหม้อ จนอดใจที่จะเข้าไปนั่งล้อมวงด้วยกันกับพวกน้องๆไม่ได้เสียแล้ว

“เสร็จหรือยัง เสร็จหรือยัง” น่าจะเป็นประโยคที่น้องๆพูดกันมากที่สุดในวันนั้น
เมื่อส่วนที่เน่าถูกตัดทิ้งไปเสียเกือบครึ่ง จึงทำให้เนื้อไก่ที่เหลืออยู่ในหม้อมีจำกัด
แถมยังไม่มีส่วนของเครื่องปรุงอื่นๆเลย
แต่กระนั้นพวกเราก็ยังได้กินเนื้อไก่ที่ได้มาอย่างยากเย็นคนละชิ้นอยู่ดี

ที่น่าแปลกคือ แม้เราจะขอทานกันมานานเป็นปีๆ กินกันแต่ผลไม้เน่าข้าวบูดทั้งนั้น หากดูเหมือนจะยิ่งช่วยทำให้กระเพาะเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน
ในร่างกายของเราทุกคนเสมือนมีภูมิคุ้มกันพิเศษ
ขนาดกินไก่เน่ากันอย่างนี้ก็ยังไม่เห็นมีใครเป็นอะไรเลย

ตอนหลังผมกลับมานั่งหวนคิดไปถึงครั้งที่ที่บ้านเรามีเนื้อเค็มอยู่ก้อนหนึ่ง
มันถูกน้ำฝนหยดใส่จนหนอนขึ้นแล้ว แต่พ่อก็ยังกินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมกับพี่สาวได้แต่ตกตะลึง เราถามพ่อว่าหนอนขึ้นแล้วทำไมไม่ทิ้งไปเสีย พ่อเคี้ยวเนื้อในปากพลางบอกกับเราด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“กินหนอนไม่ตายหรอก กินหนอนสิจึงจะได้เป็นคน”

3.เครื่องนุ่งห่ม
ข้อดีของการร่วมงานศพยังไม่จบเท่านี้ ทั้งชุดเสื้อขาวกางเกงขาวที่เราสวมอยู่นั้น
พอถอดออก เจ้าภาพก็ให้เอากลับบ้านได้ เอาเถอะ ถึงจะเป็นชุดไว้ทุกข์ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรใส่เลยไม่ใช่หรือ

และโดยทั่วไปเมื่อฝังศพผู้ตายแล้ว เจ้าภาพก็จะเอาเสื้อผ้าเครื่องใช้ของผู้ตายไปเผาหรือทิ้ง
ผมเห็นแล้วก็แสนจะเสียดาย จึงรี่ไปขอเสื้อผ้าเหล่านั้น โดยไม่เลือกสีหรือขนาด
(แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับเด็กอย่างเราแล้ว เสื้อผ้าเหล่านั้นใหญ่กว่ามาก )
เอาแค่ให้ความอบอุ่นได้ก็พอแล้ว ถ้าเสื้อตัวใหญ่เกินไป เราก็พับแขนเสื้อหลายๆทบ
แต่ถ้าขากางเกงยาวเกินไป ก็ได้แต่ปล่อยมันลากพื้นไปอย่างนั้น
บางทีมันก็พันแข้งพันขาจนสะดุดล้มไปก็มี

สิบปีมานี้ ทุกคนในบ้านเราได้ใส่แต่เสื้อผ้าเหล่านี้ ไม่เคยแบ่งว่าตัวไหนเป็นของใคร ใครหยิบได้ตัวไหนก็ใส่ตัวนั้น แล้วก็ยังมีเรื่องที่แสนจะน่าอายอยู่อีกเรื่องคือ เสื้อผ้าของผู้ตายที่เขาทิ้งเป็นชุดชั้นนอกเท่านั้น ไม่มีชุดชั้นใน
ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่เราเร่ร่อน ผมจึงไม่เคยใส่กางเกงในเลย

4.ศักดิ์ศรี
เวลาที่พวกเราเดินมาถึงหมู่บ้านใดก็ตาม แม้ว่าจะยังไม่ได้เดินตะเวนออกไปขอทาน เรื่องของเราก็มักจะสะพัดออกไปทั่วทั้งหาวแบกผ้าห่มขาดๆไว้ข้างหลัง แล้วยังมีเสื่อฟางและพิณมัดไว้ที่ข้างหน้า มือข้างหนึ่งก็จูงน้องชายคนเล็กมู่บ้านโดยที่เราไม่ต้องออกไปป่าวประกาศเลย เพราะเพียงแค่มีคนเห็นครอบครัวตัวประหลาดของเราแล้ว ก็เอาไปพูดต่อกันเอง
พ่อตาบอดหาบสาแหรกที่ปลายทั้งสองข้างมีเด็กทารกอยู่ มือซ้ายผมลากโซ่ที่ล่ามแม่
มือขวาก็ลากโซ่ที่ล่ามน้องชายคนโต
บางครั้งแม่ปัญญาอ่อนของผมก็เปิดหน้าอกออกมาอวดสายตาประชาชน

เด็กน้อยล่อนจ้อนสองคนคลานไปกับพื้น จับอะไรได้ก็หยิบเข้าปากหมด เด็กโตอีกสามคนก็เปลือยเหมือนกัน ดินทรายเปื้อนจับเป็นคราบไคลหนาเตอะ
สกปรกไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว แปลกประหลาดพิลึกพิลั่น
น่าอัศจรรย์จริงเชียว มาสิมา มาดูกันเร็วเข้า เร็ว! ไอ้พวกคนบ้าจะแสดงระบำแก้ผ้ากันแล้ว!

แล้วไม่นานครอบครัวเราก็ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คน พวกเขาต่างชี้ชวนกันดูพวกเรา เหมือนกับกำลังดูลิงกอริลลาในสวนสัตว์ยังไงยังงั้น คุณน้าผู้หญิงคนหนึ่งมองดูพวกเราแล้วก็เวทนาจนน้ำตาร่วงเผาะ

ขณะที่คุณอาผู้ชายอีกคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆจดจ้อง พินิจพิจารณาน้องสาวน้องชายตัวเล็กๆของเราที่คลานอยู่บนพื้น ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความอยากรู้อยากเห็น
บางคนมองเห็นแม่ยิ้มเซ่อๆ ก็อดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้
พวกเด็กซนๆ บางคนก็ใช้หนังสติ๊กยิงไปที่จู๋ของน้องชายผมแทนเป้ากระดาน
เท่านี้ยังไม่พอ พวกเขายังไปหาก้อนหินมารัวปาใส่พวกเราอีก
เวลาที่พวกเด็กๆชักจะซนมากเกินไป

ผมก็จะยืดตัวขึ้นเป็นโล่กำบังคอยรับก้อนหินที่ปามาเหล่านั้นให้กับน้องๆ
มีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามายืนล้อมเราเป็นวงกลม แล้วก็ปรบมือร้องเพลงล้อเลียนเราว่า
“ผีบ้า ผีบ้า ผีบอ ตัวเท่าลูกกรอก นุ่งกางเกงตูดขาด ตัวดำปิ๊ดปี๋
แกว่งไปแกว่งมา ทั้งน่าดูทั้งน่าขัน เอ้า! มาพวกเรามาช่วยตบมือกันหน่อยเอ่า!”
จากนั้นก็มีเสียงหัวร้องงอหงายของชาวบ้านที่พากันมามุงดูดังขึ้น ประสานกันกับเสียงล้อเลียนของเด็กๆราวกับเป็นลูกคู่ …

อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า “ศักดิ์ศรี ” สำหรับผมแล้วมันก็คือ
คำคำหนึ่งที่มีอยู่ในหนังสือแบบเรียนเท่านั้นเอง
กว่าผู้คนจะแยกย้ายกันไป ฟ้าก็มืดแล้ว พวกเราเหนื่อยกันแทบตาย
แต่ยังหาสุสานที่พักพิงไม่ได้ ได้แต่รีบหาต้นไม้ใหญ่เป็นที่พัก
แล้วนำเศษอาหารที่ได้รับมาแบ่งกันกิน.

5. แม่
แม่ต้องเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นคนร้ายแน่นอน จึงไม่ยอมกลับบ้านกับผม
ผมจึงตะโกนบอกแม่ว่า
“แม่! แม่ครับ! นี่อาจิ้นเองนะแม่ แม่มองผมสิครับ นี่อาจิ้นนะ!” แต่เสียงตะโกนก้องของลูกชายก็ไม่สามารถเรียกสติของแม่ให้กลับมาได้
แม่เพียงมองผมด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่สองสามนาที ก่อนที่จะตะโกนขัดขืนต่อ

ผมยืนอยู่กลางบ่อน้ำ ปล่อยโฮออกมาอย่างอดไม่ได้ แล้วโผเข้ากอดแม่ไว้แน่น
แม่จะต่อยจะทุบผมอย่างไร ผมก็ไม่หลบไม่ถอย ปากก็ตะโกนร้องไห้
“แม่ แม่... นี่ผมเป็นลูกแท้ๆ ของแม่นะ! แม่
ผมเป็นลูกที่แม่คลอดออกมานะ แม่ผมอาจิ้นนะแม่” มีบางครั้งที่ผมแค้นใจเหลือเกิน ในโลกนี้จะมีแม่สักกี่คนกันนะที่จำลูกตัวเองไม่ได้
แล้วทำไมคนคนนั้นถึงต้องเป็นแม่ผมด้วย

6. ความรับผิดชอบ
การออกไปขอทานข้างนอกที่แสนจะเหน็ดเหนื่อย จึงกลับกลายเป็น
ช่วงเวลาที่ผมสบายที่สุดในแต่ละวัน เพราะพอกลับบ้านมาแล้ว
ผมก็จะต้องเริ่มงานที่แสนจะยุ่งวุ่นวาย ไหนจะต้องเริ่มแบ่งอาหารให้กับทุกคนก่อน แบ่งให้พ่อกับแม่และลูกที่โตพอจะกินข้าวเองเป็นแล้วกลุ่มหนึ่ง

ส่วนน้องชายน้องสาวที่ยังเล็กอยู่ ผมกับพี่สาวแบ่งกันป้อน ส่วนทารกน้อยที่ไม่มีนมแม่กิน จะป้อนข้าวก็ไม่กล้า เพราะกลัวจะติดคอน้องตายเสียก่อน ผมก็เลยเอาเข้าปากตัวเองเคี้ยวให้ละเอียดก่อนแล้วค่อยป้อนน้อง

พอวุ่นวายเรื่องกินเสร็จก็ต้องหันมาจัดการกับปัสสาวะอุจจาระที่เลอะเทอะอยู่
แม่กับอาไฉสอนเท่าไรก็ไม่รู้จักจำ จะต้องอึราดใส่กางเกงทุกวัน
ที่โตหน่อยก็ต้องเปลี่ยนกางเกง ที่ยังเล็กอยู่ก็ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อม

จากนั้นต้องขนเอาเสื้อผ้าที่เลอะเทอะไปด้วยทั้งอึและฉี่ไปซักที่ริมแม่น้ำ แต่ไหนแต่ไรมา ผมไม่เคยรังเกียจความเหม็นหรือสิ่งสกปรกเหล่านี้ วันเวลาและสิ่งแวดล้อมหล่อหลอมขัดเกลาให้ผมเป็นคนอดทน ความสามารถทุกอย่างที่ผมได้มาและมีอยู่ในวันนี้ ก็มาจากสิ่งแวดล้อมที่บังคับทั้งสิ้น

มีบางครั้งที่กำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับน้องสาวอยู่ น้องคนเล็กก็กำลังเล่นอึตัวเอง แกกำลังจะหยิบเข้าปากพอดี ผมจึงต้องรีบวางมือจากน้องสาวเข้าไปห้ามน้องชายคนเล็ก พอดีกับน้องชายอีกคนดันมาลื่นล้มเข้า ก็แหกปากร้องไห้ใหญ่
ผมกำลังจะเข้าไปโอ๋น้องชาย น้องสาวคนโตก็ร้องอาละวาดเพราะความหิวขึ้นมาอีก
ส่วนแม่กับอาไฉก็กำลังตีกัน จิกผมกันไม่หยุด

ผมมองสภาพความวุ่นวายที่ดูเหมือนจะไม่มีทางจบสิ้นแล้วรู้สึกระทดท้อเป็นที่สุด
ผมปาของในมือลงกับพื้นอย่างเหลืออด แล้วก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย
ภาระที่แบกไว้นั้นหนักเหลือเกิน จนบางครั้งผมคิดจะหนีไป แล้วทิ้งทุกอย่างที่นี่เสีย ไปตายเอาดาบหน้าคนเดียว

แต่พอคิดอย่างนี้ขึ้นมาทีไร ผมก็ใจอ่อนทุกที นึกถึงเมื่อคืนตอนที่ช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อม
ให้น้องสาวคนเล็ก ตอนนี้น้องเริ่มจำคนได้แล้ว
น้องมองหน้าผมแล้วก็ย่นจมูกขึ้นยิ้มน้อยๆ ให้ผม น่ารักที่สุดเลย
สิ่งนี้เองที่สอนให้ผมรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า “หัวใจละลาย” ความรู้สึกเช่นนี้ยังจะมีสิ่งอื่นใดในโลกมาแลกไปอีกได้หรือ

ว่าแล้วผมก็ยกมือขึ้นเขกหัวตัวเองแรงๆ ถือชามที่บรรจุอาหารอยู่เต็ม
สาวเท้าก้าวยาวๆ อยากกลับถึงบ้านไวๆ

7. พี่สาว
หลังจากเข้าเรียนเพียงไม่กี่วัน วันนั้น ผมรีบกลับบ้านเพื่อออกไปขอทานกับพ่อ
แต่พ่อกลับไม่อยู่บ้าน มีเพียงพี่สาวที่กำลังร้องไห้อยู่บนเตียงคนเดียว ผมรี่เข้าไปถามเธออย่างห่วงใยว่าเป็นอะไร
ปวดท้องหิวข้าวหรือเปล่า ไม่สบายตรงไหน หรือถูกใครรังแกมา

พี่สาวเอาแต่ส่ายหน้า ไม่ให้ผมทำอะไรอีก บอกแต่ว่าวันนี้พ่อไม่ออกไปขอทานที่ตลาดโต้รุ่ง แล้วก็ไล่ให้ผมรีบไปทำการบ้าน
แต่ไหนแต่ไรมาผมกับพี่สาวรักและสนิทสนมกันมาก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เราทั้งคู่ก็จะคอยช่วยปลอบใจกัน ช่วยกันรับภาระทุกอย่าง แต่วันนี้เธอดูแปลกไป
ถามอะไรก็ไม่ยอมพูด เอาแต่ส่ายหน้าร้องไห้ ผมคิดอย่างจนปัญญาว่า

“พวกเด็กผู้หญิงพอโตขึ้นแล้วชอบทำตัวแปลกๆ พวกเด็กนักเรียนผู้หญิงในห้องก็เหมือนกัน
เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวร้องไห้ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ว่าอย่ามายุ่ง เฮ้อ... ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ไม่รู้พวกเขาคิดอะไรกันอยู่นะ”
ผมเลิกคิดมาก ไหนๆ วันนี้ไม่ต้องออกไปขอทานแล้ว ผมก็น่าจะรีบทำการบ้านให้เสร็จ จะได้ทบทวนวิชาคณิตศาสตร์ที่เพิ่งเรียนมาวันนี้อีกรอบ

พอตกดึก จู่ๆ ผมก็ถูกเขย่าตัวปลุกให้ตื่นขึ้นมา ที่แท้ก็พี่สาวนั่นเอง
เธอยกนิ้วขึ้นจุปากให้ผมเงียบ ผมพยักหน้า แล้วพี่สาวก็พูดว่า
“อาจิ้น เธอต้องตั้งใจเรียนหนังสือนะ” ผมพยักหน้า
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเราก็ตาม เธอเป็นลูกชายคนโต ต้องเข้มแข็งรู้ไหม” ผมรับคำ
“น้องเล็กลำไส้ไม่ค่อยดี เวลาป้อนข้าวให้น้องต้องระวังให้มาก”
ผมเริ่มแปลกใจ แต่พอขยับปากจะถาม

พี่สาวก็ใช้มืออุดปากผมเบาๆ แล้วพยักพเยิดไปทางพ่ออย่างระมัดระวังว่าพ่อจะตื่น
“เรื่องที่รับปากกับพี่ไว้น่ะ ต้องทำให้ได้นะ” น้ำตาของเธอเริ่มเอ่อขึ้นมาคลอตา
ทำไมล่ะ พี่ พี่เป็นอะไรไปหรือ แต่ผมก็ถามออกมาไม่ได้ เพราะมือพี่สาวยังอุดอยู่ที่ปาก จึงได้แต่จำใจพยักหน้าให้เธอสบายใจ
พอพูดจบพี่สาวก็กลับเข้าไปนอน ผมอยากจะถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่กลัวว่าเดี๋ยวพ่อจะตื่นขึ้นมา แล้วเราก็จะถูกตีด้วยกันทั้งคู่
จึงอดใจข่มตาหลับลงด้วยความกังวล

แต่คิดว่าอย่างไรก็จะต้องเค้นถามเอาความจริงจากพี่สาวให้ได้
เราเป็นพี่น้องที่รักและสนิทสนมกันขนาดนี้ มีเรื่องอะไรก็ไม่น่าจะปิดบังกัน
ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้ผมจะต้องถามให้รู้เรื่องให้ได้ คิดไปคิดมาแล้วผมก็หลับผล็อยไป

พอตื่นขึ้นมาตอนเช้า ผมเห็นพี่สาวยังหลับอยู่ก็ไม่อยากปลุก บอกกับตัวเองว่า
เดี๋ยวเลิกเรียนตอนเย็นค่อยกลับมาถามก็ได้ จึงคว้ากระเป๋าใส่หลังไปโรงเรียนตามปกติ
ถ้าหากผมรู้ล่วงหน้าได้ว่า บทสนทนาเมื่อคืนนี้จะเป็นการสนทนาครั้งสุดท้ายของเรา
ก่อนที่พี่สาวจะถูกผลักลงสู่เหวนรก วันนี้ผมคงไม่มีทางยอมไปโรงเรียนแน่
แม้จะไม่ให้ผมเรียนต่อ ผมก็ยินดีจะอยู่เฝ้าพี่สาวไว้กับบ้าน
แต่ผมก็พลาดโอกาสสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตพี่สาวไป
พอตอนเย็นเลิกเรียนกลับมาบ้าน ผมก็ไม่พบพี่สาวอีก

ตอนนี้ผมจึงได้รับรู้ความจริงว่า เพื่อปากท้องของทุกคนในบ้าน
และเพื่อที่จะให้ผมได้มีโอกาสเรียนหนังสือ พ่อจึงต้องขายพี่สาวให้กับซ่องโสเภณี พอได้ยินเรื่องนี้จากปากของพ่อ ผมก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายจะถูกจับแยกออกจากกันเป็นชิ้นๆ ผมยืนนิ่งตะลึงอยู่กับที่ คิดอะไรไม่ออกสมองเบลอไปหมด รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหมุนคว้าง และผมกำลังสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

อีกนานกว่าผมจะเรียกสติกลับคืนมาได้ ความจริงพี่สาวรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
ถึงใจเธออยากจะบอกเรื่องนี้กับผมสักแค่ไหน แต่ก็คงพูดไม่ออก
ส่วนผมไอ้น้องชายจอมเซ่อ ไม่ได้เฉลียวใจเลยสักนิดว่าพี่สาวกำลังสับสนมากแค่ไหน
ผมเหวี่ยงกระเป๋านักเรียนลงพื้นอย่างโกรธจัด แล้วตะเบ็งจนสุดเสียงว่า
“ผมจะเอาพี่กลับมา ผมจะเอาพี่กลับมา!...”

ผมรู้ดีว่านี่เป็นการตัดสินใจของพ่อซึ่งใครก็ขัดท่านไม่ได้
แต่ถ้าไม่มีพี่สาวแล้วผมจะทำอย่างไรเล่า กว่าสิบปีมานี้พี่สาวคือกำลังใจที่ดีที่สุดของผม ถ้าไม่มีพี่สาวอยู่เคียงข้าง แล้วผมจะทนต่อสู้กับชีวิตข้างหน้าได้อย่างไร
แล้วใครเล่าจะคอยปลอบใจผม เป็นกำลังใจให้ผม

ผมจะซบหน้าลงแนบอกใครในเวลาที่ร้องไห้ยามค่ำคืน
ถ้าขอทานไม่ได้อะไรเลยแล้วใครจะแกล้งทำเป็นพูดกับผมอย่างร่าเริงว่า
“อาจิ้น เรามาแข่งกันดูซิว่าใครจะขอทานได้มากกว่ากัน”
โธ่ พี่ ผมไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว พี่กลับมาเถอะนะ
พ่อได้ยินเสียงผมสะอื้น ก็พูดกับผมด้วยน้ำเสียงเข้ม
“ไม่ต้องร้องไห้แล้วหรือแกจะให้อดตายกันทั้งบ้าน”

คำพูดประโยคนี้ตีอารมณ์ความคิดผมแตกกระเจิง
ทำเอาผมพูดอะไรไม่ออก ผมมันไม่ดีเอง
ไม่มีปัญญาหาเลี้ยงพ่อแม่กับน้องๆ ทำให้พี่สาวต้องขายตัว ต้องเอาชีวิตไปสังเวยเป็นเครื่องเล่นให้กับคนอื่นเขา
เป็นเพราะผมมันใช้ไม่ได้เอง เป็นเพราะอาจิ้นไม่ดีเอง

8.การเรียน
ครอบครัวเราไม่มีใครอ่านหนังสือออกเลยสักคน แล้วก็พูดภาษากลางไม่ได้ด้วย จึงทำให้การได้เข้าเรียนเพื่อเรียนหนังสือของผมนั้น นอกจากจะรู้สึกยินดีแล้ว
ยังรู้สึกขอบคุณด้วย ความรู้สึกขอบคุณเปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจผม
ผมอยากขอบคุณฟ้าที่ยังปรานีต่อผม และขอบคุณมากครับพ่อ

ผมรู้ว่าครอบครัวเรายากจนมาก การที่ให้ผมได้เรียนหนังสือไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เพื่อให้ทุกคนมีอะไรตกถึงท้องทั้งสามมื้อ หลังเข้าโรงเรียนแล้ว
ผมจึงต้องเรียนไปด้วยออกขอทานไปด้วย ตอนเย็นหลังเลิกเรียนผมจะต้องออกไปขอทานกับพ่อจนถึงตีหนึ่งตีสองทุกวัน

แล้วค่อยลากสังขารอันอ่อนล้าจวนสิ้นแรงกลับบ้าน
พอมาถึงบ้านก็ต้องช่วยทำอาหารให้พ่อกินรองท้อง
กว่างานทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยก็ย่างเข้าตีสาม
จากนั้นผมจึงจะได้ล้มตัวนอนอย่างสบายใจเสียที
แล้วค่อยตื่นขึ้นมาอีกทีตอนตีห้ากว่า อ่านหนังสือ หุงข้าว
แล้วค่อยไปโรงเรียน หกปีของผมเร็วเหมือนหนึ่งวัน

เพราะการไปโรงเรียนกินเวลาของผมไปเกือบทั้งวัน ดังนั้นพอถึงเวลาออกไปขอทานตอนกลางคืนจึงต้องแข็งขันกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว จะปล่อยให้เวลาผ่านไปเปล่าๆ ไม่ได้เลยแม้สักวินาที พอถึงเวลาเลิกเรียน ผมต้องแบกกระเป๋าวิ่งกลับบ้านด่วนจี๋ รีบถอดชุดนักเรียน สลัดรองเท้ากีฬาซึ่งเป็นร้องเท้าเพียงคู่เดียวของผมออก
(ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมเพิ่งจะเคยซื้อชุดชุดนี้และรองเท้าคู่นี้เป็นครั้งแรก ผมจึงกลัวว่ามันจะขาดและสกปรกเร็วเกินไป) เปลี่ยนเป็นชุด “ท่านชายตกยาก” ซึ่งเป็นเสื้อผ้าของผู้ตายที่ได้รับแจกจากงานศพ เดินตีนเปล่าสะพายกระเป๋านักเรียน

จูงพ่อออกตระเวนขอทานไปตามที่ต่างๆ เดินจากบ้านไปกว่าจะเข้าถึงเขตชุมชน
ก็กินระยะทาง 10 – 20 กิโลเมตร ระหว่างทางก็ต้องรีบเดินจนแทบไม่ได้หายใจหายคอ หัวใจเต้นรัวแรงเหมือนจะทะลุออกมานอกอก

สถานีรถไฟไถจง ตลาดโต้รุ่ง สะพานลอย ตลอดจนตามตรอกซอกซอยต่างๆ
ที่ใดก็ตามที่มีผู้คนจอแจ ที่นั่นจะมีเราสองพ่อลูกนั่งขอทานอยู่ บางครั้งพ่อก็สีซอ
บางครั้งก็ดีดพิณ บางครั้งก็ดีดหรือสีและร้องเพลงไปพร้อมๆ กัน หรือบางครั้งก็เอาแต่นั่งคุกเข่าคำนับผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่หยุด

ส่วนผมจะนั่งทำการบ้านอยู่ข้างๆ พ่อ โดยอาศัยแสงริบหรี่จากเสาไฟข้างถนน พอได้ยินเสียงเศษเหรียญหนึ่งเหมา สองเหมา หรือห้าเหมาหล่นลงในขันดัง “แกร๊ง” แล้วผมก็จะต้องรีบวางดินสอลง เงยหน้าขึ้นมาพูดพร้อมกับพ่อทันทีว่า
“ขอบคุณครับ ขอให้ท่านร่ำรวย เงินทองไหลมาเทมา ขอให้มีลูกดีหลานดีเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลนะครับ”
จากนั้นจึงค่อยก้มหน้าลงทำการบ้านต่อ แม้พื้นถนนจะขรุขระ

แสงไฟจะสลัว แต่ผมก็ยังเป็นนักเรียนที่ลายมือสวยที่สุดในห้อง
ถ้าลองเปิดสมุดการบ้านผมดู ก็จะเห็นแต่เอบวกอยู่ทุกหน้าไป
เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าไม่มีเวลาเหลือเฟือพอที่จะอ่านหนังสือได้ ดังนั้นพอทำการบ้านเสร็จ ผมก็จะรีบหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อทันที
โดยยืนอ่านออกเสียงเบาๆ ทีละตัวๆ อยู่ข้างกายพ่อ

ไม่ว่าเสียงบนถนนจะดังแค่ไหน อึกทึกเพียงไรก็ตาม ยิ่งลำบากมากเท่าใด ผมก็ยิ่งตระหนักถึงคุณค่าและยิ่งทะนุถนอมเวลาของผมมากขึ้นเท่านั้น ผมจึงต้องพยายามใช้เวลาที่ผ่านไปทุกนาทีให้คุ้มค้าที่สุดเท่าที่จะทำได้

9. รางวัล
หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณครูให้นักเรียนทุกคนยกมือเลือกหัวหน้าชั้นและหัวหน้ากลุ่ม ผมได้รับเสียงสนับสนุนจากนักเรียนทั้งห้องให้เป็นหัวหน้าชั้น คูณครูส่งยิ้มให้กำลังใจผม ผมก็ส่งยิ้มตอบกลับให้คุณครู ไม่รู้ว่าคุณครูจะเห็นหรือเปล่าว่า
ในรอยยิ้มของผมนั้นมีคราบน้ำตาแฝงอยู่ด้วย

ผมคิดว่าลักษณะและความสามารถในการเป็นผู้นำของผม น่าจะเป็นผลมาจากการที่ผมมีชีวิตที่ระหกระเหินมานานกว่าสิบปี การต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันโหดร้าย
ตลอดจนสัตว์ใหญ่น้อยทุกประเภท ทำให้ผมเผชิญหน้ากับเรื่องต่างๆ ได้อย่างใจเย็นและเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่น
มีความกระตือรือร้นในการทำงานแทบทุกอย่าง

และการที่ต้องดูแลทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่อายุ 3 – 4 ขวบ
จึงทำให้ผมเป็นคนที่มีความละเอียดรอบคอบ มีน้ำอดน้ำทน และมีน้ำใจทั้งยังช่วยหล่อหลอมให้ผมมีนิสัยเข้มแข็งและกล้าหาญด้วย
เมื่อได้เป็นหัวหน้าชั้น ความภาคภูมิใจนี้ก็ทำให้ผมบอกกับตัวเองว่า
ผมจะต้องพากเพียรให้มากกว่าเดิม
ถึงฟ้าจะลิขิตให้ผมเกิดมาในครอบครัวขอทาน
แต่ผมก็จะต้องขอทานคนหนึ่งที่ยืดอกได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เวลาอยู่ที่โรงเรียน ผมจะทำตัวให้เป็นแบบอย่างแก่เพื่อนในชั้น ดังนั้นชั้นเรียนของเราจึงมักจะได้รับรางวัลที่ 1
เรื่องความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ตลอดจนชนะเลิศในการประกวดประเภทต่างๆ แทบทุกรางวัล ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมกลายเป็นที่รักของเพื่อนร่วมชั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนตัวผมเองนั้น ผมจะอ่านหนังสืออย่างบ้าคลั่งทุกวัน
แม้บางคืนจะได้นอนไม่ถึงสามชั่วโมงก็ต้องตื่น แต่ผมก็ไม่เคยละทิ้งโอกาสใดๆ ที่จะทำให้ผมได้อ่านหนังสือไป
ในที่สุดผลการสอบวัดผลในเดือนแรกออกมา
ปรากฏว่าผมสอบได้คะแนนเต็มทุกวิชา
และสอบได้ที่ 1 ของนักเรียนทั้งระดับ


ผมยังจำได้ว่าในวันประชุมนั้น ครูใหญ่เป็นผู้ยืนมอบรางวัลอยู่ที่หน้าเวที
ตอนที่ครูใหญ่ประกาศว่า
“ขอเชิญเด็กชายไล่ตงจิ้น ประถมหนึ่ง ห้อง ข. ให้ออกมารับรางวัล”

ผมตื่นเต้นดีใจจนตัวสั่น ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ผมอยากจะตะโกนออกมาเหลือเกินว่า
“ผมเองครับ! ผมเอง! ผมเองครับ!”
ผมวิ่งออกไปรับเกียรติบัตรและรางวัลด้วยความปลาบปลื้มใจยิ่ง

ในวินาทีที่มือผมได้สัมผัสกับเกียรติบัตรนั้น ผมรู้สึกราวกับว่าไฟฟ้าซ๊อต มือผมสั่นจนแทบจะถือเกียรติบัตรบางๆ แผ่นนั้นเอาไว้ไม่ไหว
น้ำตาร้อนผ่าวหยดลงบนเกียรติบัตร - -ที่ 1! ที่ 1! ผมทำได้แล้ว ผมทำได้แล้วจริงๆ วันเวลาแห่งความพากเพียร ที่สู้อดทนยืนท่องหนังสืออยู่ตามข้างถนน คุกเข่าทำการบ้านกับพื้นดินอันแสนขรุขระ ความอุตสาหะของผมไม่ได้สูญเปล่าเลย
ผมสอบได้ที่ 1 แล้ว

ตอนที่ผมกำลังหมุนตัวกลับลงมาจากเวทีนั้น
คณะครูอาจารย์และนักเรียนทั้งโรงเรียนต่างก็คึกคักกันสุดขีด เสียงปรบมือแสดงความชื่นชมดังสนั่นหวั่นไหว ในโรงเรียนเล็กๆ แห่งนี้แทบไม่มีใครไม่รู้สภาพครอบครัวของผม ผมรู้ว่าพวกเขากำลังเอาใจช่วยผม ไม่เพียงแต่เฉพาะเรื่องเรียนเท่านั้น
แต่ยังช่วยให้กำลังใจผมให้มีพลังใจที่จะต่อสู้กับชีวิตในวันข้างหน้าด้วย

วันนั้น ระหว่างที่ผมเดินอยู่ในโรงเรียน คุณครูที่เดินไปมาก็จะเข้ามาตบไหล่ชมเชยผม รุ่นพี่บางคนที่ยืนอยู่ริมระเบียงชั้นบนก็ยกนิ้วหัวแม่มือให้ ความรู้สึกนี้
แค่คำว่า “ปีติ” บรรยายได้ไม่หมดหรอก แต่แล้วความปรีดาของผมก็ค่อยๆ ลดจางลง
พอหมดชั่วโมงเรียน เลิกเรียน ระหว่างเดินทางกลับบ้าน

เมื่อนึกว่าทั้งพ่อและแม่ต่างก็ไม่รู้หนังสือ แล้วจะมีใครมาร่วมแบ่งปันความสุขความยินดีครั้งนี้ด้วยกันกับผมเล่า
ผมกอดเกียรติบัตรไว้แน่น ยืนมองดูแม่ที่กำลังนั่งเล่นดินทรายอยู่ที่พื้นหน้าบ้าน ผมรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมาทันที เกียรติบัตรใบนี้ก็คงเป็นเพียงแค่เศษกระดาษธรรมดาๆ ใบหนึ่งสำหรับแม่เท่านั้น

ผมยื่นมือออกไป แล้วก็เปลี่ยนใจหดกลับเข้ามา ใบหน้าปราศจากรอยยิ้มใดๆ ผมเดินเข้ามาชิดพ่อด้วยความหวังที่เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย พูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า
“พ่อครับ พ่อลองจับกระดาษแผ่นนี้ดูสิครับ...”
พ่อคลำดูอยู่นิดหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแอย่างสงสัยว่า
“พ่อครับ นี่เป็นเกียรติบัตรนะครับ เป็นใบประกาศผลสอบได้ที่ 1 ของผมไงครับพ่อ” ผมพูด
แม้แต่จะตอบว่า “อือ” สักคำก็ยังไม่มี พ่อใช้ไม้เท้าประคองตัวลุกขึ้นยืนช้าๆ ผมคิดว่าพ่อน่าจะลูบหัวผมสักหน่อย

หรืออย่างน้อยก็น่าจะพูดสักคำว่า “เก่งจริง” หรือไม่ก็พูดว่า “เยี่ยมไปเลย” ก็ยังดี ผมเงยหน้าขึ้นมองพ่อท่านกระแอมเหมือนตั้งท่าจะพูด ผมรอคอยท่านด้วยสายตาเปี่ยมหวัง...
พ่อพูดแล้ว พ่อพูดว่า “รีบไปหุงข้าวซะ เดี๋ยวต้องออกไปขอทานกันแล้ว!”
พูดจบพ่อก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องไปทันที
“ฮะ” ผมรอจนท่านเดินออกไปจากห้องแล้ว จึงมีกำลังเปล่งคำนี้ออกมาได้อย่างยากเย็น
ครับ ผมจะได้หุงข้าวเดี๋ยวนี้แหละ ทำไมคัดจมูกจังนะ เอาละ
เดี๋ยวก็ต้องออกไปเป็นขอทานเหมือนเดิมแล้ว ทำไมมันช่างเจ็บแปลบในใจอะไรเช่นนี้นะ
ครับ ผมเต็มใจทำทุกอย่างอยู่แล้วละครับ

แต่ว่าเกียรติบัตรใบนี้ผมจะถือกลับมาให้ใครชื่นชม
ไม่รู้ว่าผมเกิดมุทะลุอะไรขึ้นมา จู่ๆ ก็วิ่งออกไปนอกประคูรั้ว นั่งคุกเข่าลงกับพื้น สองมือประคองใบเกียรติบัตรไว้ แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า แล้วผมก็ตะโกนอ่านตัวหนังสือที่เขียนไว้บนเกียรติบัตรนี้ดังๆ ชัดๆ ทีละตัว

“เกียรติบัตรนี้ ขอมอบเพื่อเป็นเกียรติแก่เด็กชายไล่ตงจิ้น
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ห้อง ข. ที่สอบได้ที่ 1
ในการสอบครั้งที่ 1 เทอมที่1 ปีไต้หวันที่ 57
“ขอมอบเกียรติบัตรไว้ ณ โอกาสนี้ เพื่อเป็นเกียรติและกำลังใจ”
พอผมอ่านจบรอบแรก ก็ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำมูกและน้ำตา แล้วเริ่มอ่านอีก...

วันที่ผมเรียนจบชั้นประถมศึกษา ผมได้รับรางวัลทั้งหมดสี่รางวัล
สี่ครั้งที่ได้ยินเสียงครูใหญ่ประกาศชื่อผม
สี่ครั้งที่ผมยืดอกเดินขึ้นไปรับรางวัลบนเวทีอย่างสง่าผ่าเผย ผมยืนอยู่บนเวทีมองลงมาเห็นสายตาทุกคู่ที่ส่งกำลังใจมาให้ผม

ได้ยินเสียงปรบมือกึกก้องจากข้างล่างเวที ผมก็อดนึกถึงวันแรกที่เข้ามาเรียนที่นี้ไม่ได้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าหดหู่เสี่ยนี่กระไร
ตอนนั้น แค่เดินออกจากบ้านที่อยู่นอกเมืองมาถึงถนนในเมือง ผมก็จะรีบก้มหน้างุดลงทันที ผมกลัวว่าจะมองเห็นคนอื่น และยิ่งกลัวว่าคนอื่นจะมองเห็นผมเข้า เสียงหัวเราะเยาะ

คำพูดดูถูกเหยียดหยามเหล่านั้นเคยทำให้ผมอยากจะหนีเตลิดเปิดเปิงไปให้ไกล อยากจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง คิดแม้แต่จะละทิ้งชีวิตของตนเองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ช่างเป็นวันเวลาแห่งความสิ้นหวัง นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับรางวัลสอบได้ที่ 1 เป็นต้นมา ผมก็เริ่มรู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างส่องรำไรท่ามกลางความมืด

ที่แท้ความขยันหมั่นเพียร ตั้งใจเรียนหนังสือก็นำมาซึ่งเกียรติยศ
ที่แท้ “ชื่อเสียงเหม็นโฉ่” ของการขอทานนานกว่า 30 ปีของพ่อกับแม่
ถูกลบล้างได้ด้วยเกียรติยศบางๆ แผ่นแล้วแผ่นเล่า

เด็กขอทานคนหนึ่งที่ถูกหัวเราะเยาะมาเป็นสิบปีพลันเกิดมีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมา มีศักดิ์ศรีน่าเคารพขึ้นมาทันควัน เหมือนดอกไม้สวยสดงดงามโผล่พ้นโคลนตม ผมตั้งปณิธานไว้ในใจอย่างแน่วแน่ว่า สักวันผมจะต้องสลัดคราบขอทานตัวเหม็น และความอับโชคให้หมดไปจากครอบครัวเราให้จงได้
และจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกพวกเราได้อีก

ถ้าเริ่มนับตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 1 จนถึงจบชั้นประถมปีที่ 6 เกียรติบัตรที่ผมเคยได้รับรวมกันทั้งหมดแล้วก็ประมาณ 80 กว่าใบได้
ทั้งรางวัลสอบใหญ่สอบย่อย รางวัลนักเรียนตัวอย่าง รางวัลประกวดเขียนพู่กัน
รางวัลงานวาดภาพศิลปะ ตลอดจนรางวัลกีฬาแทบทุกประเภท
ผมก็ชนะคนอื่นแทบทั้งนั้น ในที่สุดความมุมานะของผมก็เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วละแวกบ้าน

ใครๆ ก็รู้ว่าลูกของ “งูซื่อ” เรียนหนังสือเก่งเป็นที่ 1
เวลาสอนลูกหลานก็มักจะบอกว่า ดู “ไอ้ลูกขอทาน” คนนั้นสิ พ่อแม่เขาทั้งพิการ
ทั้งไม่รู้หนังสือ แถมยังเป็นขอทานอีก ออกลูกมาทั้งขยันและกตัญญูอย่างนี้
เราต้องรู้จักเอาอย่างอาจิ้นนะ

แต่ก่อนพ่อไปไหนมาไหนก็มีแต่คนรังเกียจ แต่เดี๋ยวนี้เดินไปที่ไหน ใครๆ ก็รู้จัก
ไม่ว่าจะเป็นคนขายผัก เถ้าแก่ร้านของชำ อาซิ้มข้างบ้าน
ต่างก็พากันยกนิ้วหัวแม่มือชูขึ้นให้พ่อมาแต่ไกล ตะโกนป่าวๆ ว่า
“งูซื่อเอ๊ย ลูกแกนี่ยอดไปเลย ที่หนึ่งเชียวนะนี่”

พวกรุ่นพี่ที่เคยกลั่นแกล้งหัวเราะเยาะผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงท่าที
เป็นละอายต่อผมขึ้นมาบ้าง
พอเห็นผม เขาก็เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ ให้ แล้วก้มหน้าเดินผ่านไป
เพื่อนบางคนถึงกับคำนับผมก่อน.

 

 


Fengshuitown เมืองแห่งความรู้ด้านฮวงจุ้ย

ฮวงจุ้ย ดวงจีน ฤกษ์ยาม ทิศทาง ดาว 9 ยุค : Fengshuitown.com เมืองฮวงจุ้ย สงวนลิขสิทธิ์